Open Access. Powered by Scholars. Published by Universities.®

Social and Behavioral Sciences Commons

Open Access. Powered by Scholars. Published by Universities.®

Chulalongkorn University

Discipline
Keyword
Publication Year
Publication
Publication Type

Articles 391 - 420 of 5570

Full-Text Articles in Social and Behavioral Sciences

Analysis Of Inequality In Household Internet Utilization And Policy Implications, Shanisara Chamwong, Thoedsak Chomtohsuwan, Narissara Charoenphandhu May 2024

Analysis Of Inequality In Household Internet Utilization And Policy Implications, Shanisara Chamwong, Thoedsak Chomtohsuwan, Narissara Charoenphandhu

Journal of Demography

This research investigates the pervasive inequality in household internet access and use that contributes to the digital divide. As the internet becomes an integral part of daily life, variations in access and use carry significant implications for social and economic opportunities. A quantitative approach is applied, analyzing data from The National Statistical Office of Thailand to capture a comprehensive understanding of inequality in household internet access and use, as measured by the Gini coefficient. Five aspects of internet access and use are considered as the determinants of inequality, including internet connectivity, internet affordability, internet quality, device availability, and flexibility and …


Employment And Self-Rated Depression Among Older Persons In Thailand, Seung Chun Paek, Ning Jackie Zhang Mar 2024

Employment And Self-Rated Depression Among Older Persons In Thailand, Seung Chun Paek, Ning Jackie Zhang

Journal of Health Research

Background: Increasing attention has been paid to productive engagement as an important protective factor against depression in older persons. This study assessed the impact of employment on self-rated depression among older persons in Thailand using a matched sample obtained from a propensity score matching method.

Methods: This study involved a cross-sectional secondary data analysis using the 2019 Health and Welfare Survey dataset. Descriptive analysis and ordered logistic regressions were used.

Results: The effect of employment was negative for self-rated depression with an adjusted odds ratio (AOR) of 1.417. This indicates that employment could reduce self-rated depression among older …


Labour Force Participation And Type Of Work Older Persons In Vietnam Before And During Covid-19, Trieu Thi Phuong, Pataporn Sukontamarn Jan 2024

Labour Force Participation And Type Of Work Older Persons In Vietnam Before And During Covid-19, Trieu Thi Phuong, Pataporn Sukontamarn

Journal of Demography

Vietnam is ageing rapidly and is predicted to enter an aged society within the next fifteen years, posing a major challenge for a lower middle-income nation with an incomplete social security system. Supporting older persons to continue working can be a reasonable strategy to ensure their life quality and reduce the burden on the national social security system. Our study aims to investigate the determinants of older persons’ participation in the labour force and their type of work. Based on the 2018 and 2020 Vietnam Housing and Living Standard surveys, health problems, pension status, and level of education significantly explain …


พฤฒพลังด้านการทำงานและปัจจัยที่ส่งผลต่อความต้องการทำงานของผู้สูงอายุไทยที่มีสุขภาพดี, Usa Atipokaboon, Vipan Prachuabmoh Prachuabmoh, Kanokwan Tangchitnusorn, Shayaniss Kono Jan 2024

พฤฒพลังด้านการทำงานและปัจจัยที่ส่งผลต่อความต้องการทำงานของผู้สูงอายุไทยที่มีสุขภาพดี, Usa Atipokaboon, Vipan Prachuabmoh Prachuabmoh, Kanokwan Tangchitnusorn, Shayaniss Kono

Journal of Demography

บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤฒพลังด้านการทำงานของผู้สูงอายุในประเทศไทย และปัจจัยที่ส่งผลต่อความต้องการทำงานของผู้สูงอายุไทยที่มีสุขภาพดี คณะผู้วิจัยใช้ข้อมูลทุติยภูมิจากโครงการการสำรวจขนาดใหญ่ เรื่อง “การเปลี่ยนแปลงทางประชากรและความอยู่ดีมีสุขในบริบทสังคมสูงวัย” โดยวิทยาลัยประชากรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (2559) ในส่วนของพฤฒพลังด้านการทำงาน คณะผู้วิจัยพบข้อสรุปที่มีนัยสำคัญทางสถิติ ดังนี้ (1) ประมาณ 1 ใน 4 ของผู้สูงอายุที่มีความต้องการทำงานยังคงไม่ได้ทำงาน (2) ผู้สูงอายุเพศชายมีความต้องการทำงานมากกว่าผู้สูงอายุเพศหญิง และ (3) ผู้สูงอายุที่มีสุขภาพดีมีความต้องการทำงานมากกว่าผู้สูงอายุที่มีสุขภาพต่ำกว่า ระดับดี ทั้งนี้ จากผลการวิเคราะห์ความต้องการทำงานของผู้สูงอายุที่มีสุขภาพดีโดยใช้วิธีการวิเคราะห์การถดถอย โลจิสติกแบบไบนารี พบว่ามีตัวแปรที่มีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.05) ได้แก่ อายุ เพศ ระดับการศึกษา สถานภาพสมรส ความเพียงพอของรายได้ การดูแลสมาชิกในครอบครัว และภูมิภาคที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม ในอนาคตควรมีนโยบายที่ส่งเสริมการทำงานของผู้สูงอายุโดยควรยกระดับการศึกษาและการฝึกอบรมทักษะก่อนการเกษียณอายุเพื่อลดช่องว่างความต้องการทำงานที่ไม่ได้รับการตอบสนองของผู้สูงอายุไทย


ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการสะสมทักษะชีวิตในสังคมสมัยใหม่ของแรงงานย้ายถิ่นกลับจากต่างประเทศ, Dusadee Ayuwat, Aphiradee Wongsiri, Panutporn Ruangchoengchum, Suvimon Khamnoi, Nattawat Auraiampai Jan 2024

ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการสะสมทักษะชีวิตในสังคมสมัยใหม่ของแรงงานย้ายถิ่นกลับจากต่างประเทศ, Dusadee Ayuwat, Aphiradee Wongsiri, Panutporn Ruangchoengchum, Suvimon Khamnoi, Nattawat Auraiampai

Journal of Demography

บทความนี้มุ่งศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการสะสมทักษะชีวิตในสังคมสมัยใหม่ของแรงงานย้ายถิ่นกลับจากต่างประเทศ ใช้ระเบียบวิธีการวิจัยเชิงปริมาณ มีหน่วยวิเคราะห์ระดับปัจเจก กลุ่มตัวอย่างเป็นแรงงานย้ายถิ่นกลับจากต่างประเทศในจังหวัดชัยภูมิ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประเทศไทย จำนวน 420 คน เก็บข้อมูลเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ด้วยแบบสัมภาษณ์ที่ผ่านการตรวจสอบความถูกต้องเชิงเนื้อหาและมีค่าความเชื่อมั่น 0.902 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่าแรงงานย้ายถิ่นกลับจากต่างประเทศมีอายุเฉลี่ย43.6 ปี เป็นชาย ร้อยละ 56.2 และร้อยละ 33.1 จบชั้นประถมศึกษา มากกว่าครึ่งหนึ่งไปทำงานต่างประเทศแบบถูกกฎหมาย ในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออก ร้อยละ 94.0 และร้อยละ 52.1 ย้ายถิ่นไปทำงานต่างประเทศเพียง 1 ครั้ง ซึ่งแรงงานย้ายถิ่นกลับส่วนใหญ่ มากกว่าครึ่งหนึ่งเห็นคุณค่าในตนเองในระดับปานกลาง ร้อยละ 53.8 คาดหวังประโยชน์จากการย้ายถิ่นไปทำงานต่างประเทศระดับปานกลาง ร้อยละ 46.4 และแรงงานย้ายถิ่นกลับมากกว่าครึ่งหนึ่งสะสมทักษะชีวิตได้ในระดับปานกลาง เป็นที่น่าสังเกตว่า กว่าร้อยละ 40.0 สะสมทักษะชีวิตได้ในระดับต่ำ นอกจากนี้ พบว่า ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการสะสมทักษะชีวิตในสังคมสมัยใหม่ของแรงงานย้ายถิ่นกลับจากต่างประเทศ ได้แก่ เพศชาย จำนวนปีที่ศึกษา วิธีการย้ายถิ่นแบบถูกกฎหมาย จำนวนครั้งที่ย้ายถิ่น และการเห็นคุณค่าในตนเอง โดยทุกตัวแปรสามารถอธิบายการผันแปรของการสะสมทักษะชีวิตในสังคมสมัยใหม่ของแรงงานย้ายถิ่นกลับจากต่างประเทศได้ 32.6% (R-square = 0.326)


Subnational Probabilistic Projections Of Fertility: Rethinking From Latin America, Lucia Andreozzi Jan 2024

Subnational Probabilistic Projections Of Fertility: Rethinking From Latin America, Lucia Andreozzi

Journal of Demography

General trends in fertility, mortality, and migration can be discerned and projected into the future with reasonable results, however, there is considerable uncertainty attached to each specific trend from a particular country or region. Then, subnational projections then represent a special chapter within the demographic projections. After introducing subnational projections and its close relationship with the fertility, this work proposes as the main objective to project fertility rates at the subnational level for Argentina using a probabilistic method; the bayesian hierarchical model (BHM), and then compare the results with the point estimates of deterministic projections published by the national organism …


การศึกษาระดับเสียงดังจากการจราจรที่ก่อให้เกิดความรำคาญในพื้นที่พานิชกรรม และที่อยู่อาศัยหนาแน่นมาก ในเขตเทศบาลนครหาดใหญ่, ศริญญา ชูพูล, พิชญา ตันติเศรณี, สุธีระ ประเสริฐสรรพ์ Jan 2024

การศึกษาระดับเสียงดังจากการจราจรที่ก่อให้เกิดความรำคาญในพื้นที่พานิชกรรม และที่อยู่อาศัยหนาแน่นมาก ในเขตเทศบาลนครหาดใหญ่, ศริญญา ชูพูล, พิชญา ตันติเศรณี, สุธีระ ประเสริฐสรรพ์

Applied Environmental Research

การศึกษานี้เป็นการศึกษาภาคตัดขวาง ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างเสียงจากการจราจร กับการตอบสนองของประชาชนในชุมชน เพื่อเป็นแนวทางในการกำหนดมาตรฐานเสียงรบกวนที่เกิดจากการจราจรในย่านพานิชยกรรมและที่อยู่อาศัยหนาแน่นมากในเขตเทศบาลนครหาดใหญ่ การเก็บข้อมูลใช้เครื่องตรวจวัดเลียง (Sound level meter) ยี่ห้อ NA-27 type 1 วัดระดับเสียงเฉลี่ย 15ชั่วโมง (Leq15 hr) และ ระดับเสียง percentile ที่ 10 (L10) รวม 6 จุด โดยแต่ละจุดจะวัดทั้งวันธรรมดาและวันหยุดราชการ ในช่วงระยะเวลา 07.00-22.00 น. และขณะวัดเสียงในชุมชนจะสัมภาษณ์ประชาชนที่อาศัยอยู่รอบพื้นที่ศึกษาจำนวน 246 คนเกี่ยวกับลักษณะประชากรบ้านพักอาศัยความไวต่อเสียง โรคประจำตัวและโรคทางหูผดกระทบและความรำคาญจากเสียง และสุขภาพจิต ผลการศึกษาพบ ความสัมพันธ์ระหว่างความรำคาญกับระดับเสียงเฉลี่ย 15 ชั่วโมง เป็นแบบแปรผันตรงด้วย ค่าสัมประสิทธิสหสัมพันธ์0.8292 และจากการวิเคราะห์ด้วยสถิติพหุคูณพบปัจจัยเพิ่มความรำคาญได้แก่ การประกอบอาชีพลูกจ้างหรือนักเรียนนักศึกษา แหล่งเสียงภายนอกบ้าน ความคิดเห็นว่าเสียงเป็นมลภาวะระดับมากและมากที่สุด เสียงจราจรที่รบกวนการทำงานและการนอนหลับ ส่วนปัจจัยลดความรำคาญได้แก่ ลักษณะที่พักอาศัยแบบตึกแถว แต่ปัจจัยอื่นๆไม่มีผล เมื่อนำค่าความน่าจะเป็นที่ได้จากสมการปรุงปรับเพื่อลดอิทธิพลตัวแปรกวนต่างๆมาพล็อตกับระดับความรำคาญ โดยใช้แบบจำลองถดถอยเชิงเส้นอย่างง่ายพบว่า ระดับเสียงที่ทำให้คนร้อยละ 20 เกิดความรู้สึกรำคาญมีค่า 68.2 เดซิเบล


วิธีการสมมติเหตุการณ์ให้ประเมินมูลค่าความเต็มใจที่จะจ่ายเพื่อการอนุรักษ์ ทรัพยากรประมงในพื้นที่ชุ่มน้ำบึงละหาน จ.ชัยภูมิ, นันทวรรณ ประภามณฑล Jan 2024

วิธีการสมมติเหตุการณ์ให้ประเมินมูลค่าความเต็มใจที่จะจ่ายเพื่อการอนุรักษ์ ทรัพยากรประมงในพื้นที่ชุ่มน้ำบึงละหาน จ.ชัยภูมิ, นันทวรรณ ประภามณฑล

Applied Environmental Research

วิธีการสมมติเหตุการณ์ให้ประเมินมูลค่าความเต็มใจที่จะจ่ายเพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรประมงในพื้นที่ชุ่มนาบีง ละหาน จ.ชัยภูมิโดยการใช้คำถามแบบ Dichotomous choice ว่า "ท่านและครัวเรือนเต็มใจที่จะจ่ายเงินเพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรประมง (ปลาและสัตว์น้ำ)ในบึงละหานหรือไม่" สอบถามครัวเรือนตัวอย่างจำนวน 300 ครัวเรือนในพื้นที่ศึกษา 20 หมู่บ้าน ใน 4 ตำบล คือ ต.หนองบัวบาน ต.ละหาน ต.บ้านกอก และ ต.หนองบัวใหญ่ ในรัศมี 3 กิโลเมตรจาก บึงละหานโดยใช้ระดับราคาเริ่มแรกที่ถามแตกต่างกันเท่ากับ 50 100 300 และ 500 บาท/ครัวเรือน/ปี ผลการศึกษา พบว่า ร้อยละ 38.3 ของครัวเรือนตัวอย่างเป็นครัวเรือนอาชีพประมง ซึ่งมีรายได้ครัวเรือนมากกว่า ร้อยละ 50 มาจากการจับปลาและสัตว์น้ำในบึงละหาน ค่าเฉลี่ยและค่ามัธยฐานของจำนวนเงินที่ครัวเรือนเต็มใจจะจ่ายเพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรประมงในพื้นที่ชุ่มน้ำบึงละหานเท่ากับ 417.16 และ 259.04 บาท/ครัวเรือน/ปี ตามลำดับ คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งหมด 1,683,240.60 บาท/ปี ที่ครัวเรือนในพื้นที่ศึกษา 4,035 ครัวเรือน เต็มใจที่จะจ่ายเพื่อการ อนุรักษ์ทรัพยากรประมงในพื้นที่ชุ่มน้ำบึงละหาน เทียบกับมูลค่าผลประโยชน์ที่ได้รับจากการจับปลาและสัตว์น้ำในบึง ละหานเฉลี่ยเท่ากับ 20,349.2 บาท/ครัวเรือน/ปี หรือคิดเป็นมูลค่าผลประโยชน์ทั้งหมดที่ครัวเรือนในพื้นที่ศึกษา 4,035 ครัวเรือน ได้รับเท่ากับ 82,109,022 บาท/ปี ปัจจัยหลักซึ่งมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) ที่กำหนดขนาดของมูลค่าความเต็มใจที่จะจ่ายเพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรประมงในบึงละหาน คือ ที่ตั้งของครัวเรือน ความสำคัญของทรัพยากรประมงในบึงละหานต่อครัวเรือน และแหล่งข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการอนุรักษ์ปลาและสัตว์น้ำในบึงละหาน ผลการวิจัยสามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อการวาง แผนการจัดการทรัพยากรประมงและทรัพยากรธรรมชาติอื่นๆในพื้นที่ชุ่มน้ำบึงละหานเช่นการจัดเก็บค่าอาญาบัตรการทำประมงหรือภาษีท้องถิ่นจากการทำการประมงในบึงละหาน และการจัดสรรงบประมาณเพื่อการอนุรักษ์และจัดการ ทรัพยากรประมงในบึงละหานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากนี้มูลค่าซึ่งครัวเรือนอาชีพประมงระบุว่ามีความเต็มใจที่จะจ่ายเพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรประมงในบึงละหานยังสะท้อนถึงความตระหนักและความต้องการของครัวเรือนที่จะอนุรักษ์ทรัพยากรประมงได้อีกนัยหนึ่ง


การพัฒนาคิวซาร์โมเดลอย่างง่ายเพื่อทำนายการดูดซับสารโพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอนของดิน, เบญจลักษณ์ กาญจนเศรษฐ, เรณู ใจหลัก Jan 2024

การพัฒนาคิวซาร์โมเดลอย่างง่ายเพื่อทำนายการดูดซับสารโพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอนของดิน, เบญจลักษณ์ กาญจนเศรษฐ, เรณู ใจหลัก

Applied Environmental Research

ศึกษาดินที่มีปริมาณสารอินทรีย์คาร์บอน 4 ระดับเพื่อหาสัมประสิทธ์การดูดซับสารโพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน (พีเอเอช) 9 ชนิดที่มีค่า log Kow ในช่วง 3.4-6.5 และที่ความเข้มข้น 4 ระดับ หาความสัมพันธ์ระหว่างค่า log Koc กับค่า log Kow น้ำหนักโมเลกุล การละลายน้ำ ความดันไอ และค่าคงที่ของเฮนรีลอว์ และตรวจสอบการทำนายของแบบจำลอง ผลการศึกษาพบว่าค่า log Koc มีค่าใกล้เคียงกับค่า log Koc จากงานวิจัยอื่น และ มีค่าสูงขึ้นตามนำหนักโมเลกุลและค่า log Kow ที่มากขึ้น ค่า log Koc ที่แตกต่างกับงานวิจัยอื่น คาดว่ามาจากความแตกต่างของเงื่อนไขในการทดลอง อุณหภูมิทดลอง ขนาดอนุภาคดิน สารอินทรีย์แขวนลอย การย่อยสลายทางชีวภาพ และการย่อยสลายโดยแสง เป็นต้น ความสัมพันธ์ระหว่างค่า log Koc กับ log Kow น้ำหนักโมเลกุล และค่าคงที่ของเฮนรีลอว์อยู่ในระดับดีมาก แสดงว่าคุณสมบัติของสารเหล่านี้สามารถใช้เป็นดัชนีชี้วัดได้ดี จากการทดสอบแบบจำลองโดยใช้สาร PAH อื่น ซึ่งมีค่า log Kow อยู่ในช่วง 3.4-6.5พบว่าค่า log Koc ที่คำนวณได้จากแบบจำลองความสัมพันธ์กับ log Kow ใกล้เคียง กับงานวิจัยอื่น เช่นเดียวกับสาร PCDD และ PCB พบว่า ค่า log Koc ที่ได้จากแบบจำลองความสัมพันธ์กับ log Kow ให้ค่าที่ดีเมื่อเทียบกับงานวิจัยอื่น แต่ไม่ดีนักเมื่อเทียบกับแบบจำลองอื่น แบบจำลองนี้จึงมีข้อจำกัดทั้งนี้อาจมาจาก ค่าการละลายในน้ำ/สารละลายและค่าความคันไอของสารมีหลายค่า


ผลของสารคีเลตต่อการดูดซับตะกั่วจากสารละลายด้วยไคโตแซนแบบโครงร่างตาข่าย, เอมม่า อาสนจินดา, สุธา ขาวเธียร, เจิดศักดิ์ ไชยคุนา Jan 2024

ผลของสารคีเลตต่อการดูดซับตะกั่วจากสารละลายด้วยไคโตแซนแบบโครงร่างตาข่าย, เอมม่า อาสนจินดา, สุธา ขาวเธียร, เจิดศักดิ์ ไชยคุนา

Applied Environmental Research

การมีสารคีเลตในน้ำเสียทำให้การกำจัดโลหะด้วยวิธีการตกตะกอนมีประสิทธิภาพลดลง เนื่องจากการเกิดสารประกอบเชิงซ้อนของโลหะกับสารคีเลต ซึ่งทำให้คุณสมบัติในการตกผลึกและการละลายน้ำของโลหะเปลี่ยนไปการวิจัยนี้ได้ท้าการศึกษาผลของสารคีเลตต่อการดูดซับตะกั่วจากสารละลายด้วยไคโตแซนแบบโครงร่างตาข่ายโดยการ ทดลองแบบแบตซ์และคอลัมน์ ผลการทดลองในแบตซ์พบว่า ความสามารถในการดูดซับตะกั่วด้วยไคโตแซนแบบโครงร่างตาข่ายสูงขึ้นเมื่อพีเอชสูงขึ้นในช่วงพีเอชที่ทำการศึกษา และการเพิ่มความเข้มข้นของสารละลายตะกั่วทำให้ปริมาณตะกั่วที่ถูกดูดซับต่อปริมาณไคโตแซนเพิ่มขึ้นตามไปด้วย สำหรับผลการศึกษาผลของสารคีเลต พบว่าความ สามารถในการดูดซับตะกั่วด้วยไคโตแซนแบบโครงร่างตาข่ายที่พีเอชสูงลดลงในขณะที่ความสามารถในการดูดซับตะกั่ว ที่พีเอชต่ำเพิ่มขึ้นเมื่อเดิมอีดีทีเอหรือเอ็นทีเอลงไปในน้ำเสียสังเคราะห์ ส่วนการเดิมกรดทาทาริกลงไปน้ำเสียสังเคราะห์ไม่มีผลต่อความสามารถในการดูดซับตะกั่วโดยไคโตแซนการทดลองแบบคอลัมน์พบว่าสามารถบำบัดน้ำเสียให้มีความ เข้มข้นต่ำกว่ามาตรฐานน้ำทิ้งได้ภายในปริมาตร 88.89 ปริมาตรเบด โดยมีประสิทธิภาพในการกำจัด 91.40%


แผ่นใยไม้อัดชนิดใหม่จากเส้นใยชานอ้อยผสมโฟมพอลิสไตรีน, มาลินี ชัยศุภกิจสินธ์, สิรินันท์ วิริยะสุนทร, สุพรรษา ออกสุข Jan 2024

แผ่นใยไม้อัดชนิดใหม่จากเส้นใยชานอ้อยผสมโฟมพอลิสไตรีน, มาลินี ชัยศุภกิจสินธ์, สิรินันท์ วิริยะสุนทร, สุพรรษา ออกสุข

Applied Environmental Research

เตรียมแผ่นใยไม้อัดโดยนำเส้นใยชานอ้อยมาผสมกับโฟมกันกระแทกที่ทำจากพอลิสไตรีน นำโฟมมาตัดย่อยให้มีขนาด 2-4 มิลลิเมตร และ 4-6.48 มิลลิเมตร ใช้ยูเรียฟอร์มาลดีไฮด์ พอลิไวนิลอะซิเทต และกาวเดกซ์ตรินเป็นสารยึดติด อัตราส่วนผสมของโฟม:เส้นใยชานอ้อย:สารยึดติด 8:30:40 โดยน้ำหนัก พบว่ายูเรีย-ฟอร์มาลดีไฮด์และพอลิไวนิลอะซิเทตเป็นสารยึดติดที่ให้ความแข็งแรงต่อแผ่นใยไม้อัดดีกว่ากาวเดกซ์ตริน และพอลิสไตรีนโฟมขนาด 4-6.48 มิลลิเมตร มีผลทำให้สมบัติการดูดซับเลียงดีกว่าฝ้าเสริมเส้นใยแก้ว เมื่อเปรียบเทียบสมบัติเชิงกลของแผ่นใยไม้อัดที่เตรียมได้กับฝ้าเสริมเส้นใยแก้วพบว่าสมบัติเชิงกลด้อยกว่า สำหรับสารยึดติดทั้ง 3 ชนิด พบว่า ยูเรีย-ฟอร์มาลดีไฮด์เป็นสารยึดติดที่ให้สมบัติเชิงกลและสมบัติการดูดซับเสียงดีที่สุด


การศึกษาผลของสารเคมี (Nacl และ Zncl2) ที่ใช้การกระตุ้นในการเตรียมถ่านกัมมันต์จากขี้เลื่อย, ธเรศ ศรีสถิตย์, เปรมจิตต์ แทนสถิตย์, มานพ ติระรัตนสมโภช Jan 2024

การศึกษาผลของสารเคมี (Nacl และ Zncl2) ที่ใช้การกระตุ้นในการเตรียมถ่านกัมมันต์จากขี้เลื่อย, ธเรศ ศรีสถิตย์, เปรมจิตต์ แทนสถิตย์, มานพ ติระรัตนสมโภช

Applied Environmental Research

การศึกษาผลของสารเคมีที่ใช้ในการกระตุ้นเพื่อเตรียมถ่านกัมมันต์จากขี้เลื่อยในครั้งนี้ สารเคมีที่ใช้คือ NaCI และ ZnCI2 โดยทำการทดลองเปลี่ยนแปลงอัตราส่วนโดยน้ำหนักของขี้เลื่อยต่อสารเคมี และอุณหภูมิที่ใช้เผากระตุ้นจากนั้น ศึกษาคุณสมปติของถ่านกัมมันต์ที่เตรียมได้ทั้งสองชนิด แล้วคัดเลือกถ่านกัมมันต์ตัวที่มีความเหมาะสมที่สุดของแต่ละชนิดนำไปทดสอบประสิทธิภาพการกำจัดตะกั่วในน้ำเสียสังเคราะห์ผลการทดลองพบว่าการเตรียมถ่านกัมมันต์สภาวะที่เหมาะ สมโดยใช้ NaCI เป็นตัวกระตุ้น คือใช้น้ำหนักของขี้เลื่อยต่อ NaCI = 1:1 และเผากระตุ้นที่ 800 °C เป็นเวลา 1 ชั่วโมง ส่วนการกระตุ้นด้วย ZnCI2 ใช้น้ำหนักของขี้เลื่อยต่อ ZnCI2 = 1 : 1 และเผากระตุ้นที่ 700 °C เป็นเวลา 1 ชั่วโมง เช่นกัน จากนั้นทำการล้างสารเคมีออกด้วยน้ำร้อนและกรดเจือจาง ถ่านกัมมันต์ที่ได้มีค่าไอโอดีนนัมเบอร์เท่ากับ 519.4 และ 1,021.3 mg/g ตามลำดับ มีค่าพื้นที่ผิวเท่ากับ 593.79 และ 1,572.51 m2/g ตามลำดับ ถ่านกัมมันต์ที่กระตุ้นด้วย NaCI มีความสามารถในการกำจัดตะกั่ว (ความเข้มข้น 10 mg/L) ที่ pH 8 เท่ากับ 9.96 mg/g ของถ่านกัมมันต์ และถ่านกัมมันต์ที่กระตุ้นด้วย ZnCI2 มีความสามารถในการกำจัดตะกั่ว (ความเข้มข้น 10 mg/L) ที่ pH 7 เท่ากับ 99.7 mg/g ของถ่านกัมมันต์ การทดลองประสิทธิภาพการกำจัดตะกั่วในน้ำเสียสังเคราะห์ด้วยถังดูดติดผิวแบบแท่งที่ระดับความลึกของถ่านกัมมันต์ 30, 60, 90 และ 120 cm พบว่าที่จุด Breakthrough สามารถกำจัดตะกั่วในน้ำเสียสังเคราะห์ความเข้มข้น 10 mg/L ได้เท่ากับ 1.21, 14.17, 186.04 และ 209.17 …


ความหลากหลายทางชีวภาพของสมุนไพร บริเวณริมแม่น้ำเหือง อำเภอนาแห้ว จังหวัดเลย ที่มีผลต่อการยับยั้งการเจริญของเชื้อก่อโรคในระบบทางเดินอาหาร, วีรวัฒน์ กนกนุเคราะห์ Jan 2024

ความหลากหลายทางชีวภาพของสมุนไพร บริเวณริมแม่น้ำเหือง อำเภอนาแห้ว จังหวัดเลย ที่มีผลต่อการยับยั้งการเจริญของเชื้อก่อโรคในระบบทางเดินอาหาร, วีรวัฒน์ กนกนุเคราะห์

Applied Environmental Research

การสำรวจสภาพพื้นที่ป่าบริเวณริมฝังแม่น้ำเหือง อำเภอนาแห้ว จังหวัดเลย ซึ่งเป็นเขตรอยต่อระหว่างประเทศไทยและลาว ในพื้นที่ครอบคลุมประมาณ 24 ตารางกิโลเมตร ที่ระดับความสูงตั้งแต่ 400-1,200 เมตร พบว่าสภาพป่าส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นป่าดิบชื้น ป่าดิบเขา และป่าเต็งรัง จากการรวบรวมตัวอย่างพรรณไม้ประมาณ 300 ตัวอย่าง พบว่ามีลักษณะเป็นพืชสมุนไพร 70 ชนิด แต่มีเพียง 15 ชนิด ที่คาดว่าน่าจะมีผลต่อการยับยังการเจริญของเชื้อก่อโรคในระบบทางเดินอาหาร เมื่อทำการสกัดแห้งสมุนไพรทั้ง 15 ชนิด และนำสารสกัดที่ได้มาทดสอบฤทธิ์ในการยับยั้งการเจริญของเชื้อแบคทีเรีย 4 ชนิด ที่ก่อให้เกิดโรคระบบทางเดินอาหารคือ Escherichia coli Shigella dysenteriae Salmonella typhosa และ Vibrio cholerae ด้วยวิธีการ disc diffusion บนอาหารเลี้ยงเชื้อ พบว่าสารสกัดจากเปลือกผลของมังคุด ด้วยน้ำกลั่นสามารถยับยั้งการเจริญของเชื้อ E. coli ได้ สารสกัดจากใบโกฏจุฬาลำพาด้วยไดเอธิล อีเธอร์สามารถยับยังการเจริญของเชื้อ ร. dysenteriae ได้ ขณะทีเชื้อ S. typhosa ถูกยับยั้งการเจริญด้วยสารสกัดจากเปลือกผลสมอพิเภก, กลีบดอกคูน หรือใบเปล้าน้อยที่ใช้ไอโซโพรพานอล 80% เป็นตัวทำละลาย แต่ไม่พบว่ามีสารสกัดจากสมุนไพรชนิดใดสามารถออกฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเชอ V. cholerae ได้


Understanding Digital Well-Being And Insights From Technological Impacts On University Students’ Everyday Lives In Bangkok, Chulanee Thianthai, Patrapan Tamdee Dec 2023

Understanding Digital Well-Being And Insights From Technological Impacts On University Students’ Everyday Lives In Bangkok, Chulanee Thianthai, Patrapan Tamdee

Journal of Health Research

Background - Digital wellbeing has been widely discussed due to the influence of digital technology on our life. This paper defined digital wellbeing for university students in Bangkok and reviewed how they engaged with technology, while examining the technological impacts on their everyday lives.

Methods - Qualitative data was collected from university students across different majors and genders, ranging in age from 18-32 years old. The researchers used 30 in-depth individual interviews in conjunction with a brain writing 6-3-5 design thinking technique to gain insight into how digital natives living in Bangkok defined digital wellbeing and experienced daily life impacts …


Revisiting The Component Of Strong Community In The Thailand Context, Sukanya Meesakulthong Nov 2023

Revisiting The Component Of Strong Community In The Thailand Context, Sukanya Meesakulthong

Journal of Demography

The elements of strong communities in Thailand are changing. In this study, data were collected and analyzed by triangulation from in-depth interviews across 32 case studies of academics, community leaders, civil servants, government officials, pensioners, and representatives of non-profit organizations (NGOs). The research found a significant emergence of diversity among leaders in the Thai context compared with the past, tending toward individualistic characteristics. It is believed that each person has their own motivations and demonstrates actions that respond to expectations and needs — an important attribute that enhances the potential for leadership within a community. Additionally, evidence-based practices are needed …


ความสัมพันธ์ระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจกับอายุคาดเฉลี่ยในกลุ่มประเทศ Clmv (C: ราชอาณาจักรกัมพูชา L: สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว M: สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา V: สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม), มณิภัทร์ ไทรเมฆ Nov 2023

ความสัมพันธ์ระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจกับอายุคาดเฉลี่ยในกลุ่มประเทศ Clmv (C: ราชอาณาจักรกัมพูชา L: สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว M: สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา V: สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม), มณิภัทร์ ไทรเมฆ

Journal of Demography

บทคัดย่อ

การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างรายได้ประชาชาติต่อหัวของประชากรกับอายุคาดเฉลี่ยด้วยวิธีการทดสอบความสัมพันธ์เชิงเหตุและผลของ Granger Causality ข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์เป็นข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary data) ของประเทศในกลุ่ม CLMV (C: ราชอาณาจักรกัมพูชา L: สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว M: สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา V: สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม) เป็นประเภทอนุกรมเวลา โดยมีลักษณะเป็นรายปี ตั้งแต่ปี 2000-2018 ผลการศึกษาอายุคาดเฉลี่ยของกลุ่มประเทศ CLMV ทั้งประชากรชายและหญิง พบว่า การทดสอบความนิ่งของข้อมูล ค่าสัมประสิทธิ์ของ ADF test และ KPSS test ณ ระดับนัยสำคัญ 0.05 ที่ระดับต่างๆ และทำการทดสอบ Residual Tests พบว่า ไม่พบปัญหา Autocorrelation และไม่พบปัญหา Heteroscedasticity หลังจากนั้นได้ทำการทดสอบระดับความยากของค่าล่า (lag length) ที่เหมาะสม ผลการทดสอบสมมติฐานเชิงเหตุเชิงผล (Granger Causality) พบว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นต้นเหตุของอายุคาดเฉลี่ยของประชากรชายหญิงของประเทศราชอาณาจักรกัมพูชา และสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ประชากรหญิงของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และประชากรชายของสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม แต่ผลการศึกษาที่ผลกลับกัน คือ อายุคาดเฉลี่ยเป็นต้นเหตุของรายได้ประชาชาติต่อหัวของประชากรชายหญิงของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ประชากรหญิงของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม


ผู้หญิงในโลกดิจิทัลกับสื่อไม่ปลอดภัย: มุมมองทางประชากรและสังคม, Pychaniphat Wichaino, Phanarin Namphet Oct 2023

ผู้หญิงในโลกดิจิทัลกับสื่อไม่ปลอดภัย: มุมมองทางประชากรและสังคม, Pychaniphat Wichaino, Phanarin Namphet

Journal of Demography

In a wide range of networked societies, going digital is a dynamic social phenomenon that brings risks exposure to unsafe media. This article studied the knowledge of issues related to unsafe media through demographic and social perspectives. It aims to understand the digital lifestyle and ways to mitigate the risk of unsafe media for women in the digital world. This quantitative research-based study collected data from 541 questionnaires completed by female digital denizens, and the data were analyzed using statistical methods.

In the context of unsafe media, the research found that population of women in the digital world can divided …


Women’S Empowerment As A Determinant Of Child’S Nutrition: Evidence From A Cambodia Demographic And Health Survey, Vatana Chea, Socheata Sar Oct 2023

Women’S Empowerment As A Determinant Of Child’S Nutrition: Evidence From A Cambodia Demographic And Health Survey, Vatana Chea, Socheata Sar

Journal of Demography

Does the empowerment of women improve a child’s long-term health outcome? Although the relationship seems intuitive in daily life, most studies done globally have found no association. This paper explicates the relationship between women’s empowerment and children’s malnutrition by taking Cambodia as a case study and adding new empirical evidence to the debate. Data were drawn from the Cambodia Demographic and Health Survey (DHS) 2014, with a sample of 4,118 children nationwide. To measure children’s nutritional status, this study employed the WHO’s height-for-age (HFA) and weight-for-age (WFA) metrics, and at the same time, used the Survey-Based Women’s emPowERment Index (SWPER), …


Tobacco, Alcohol And Diet As Mortality Risk Factors: The Secondary Analysis Of The 25-Year Cohort Study, Alina Egorova, Bulat Idrisov, Romany Redman, Stanislav Otstavnov, Sergey Soshnikov Sep 2023

Tobacco, Alcohol And Diet As Mortality Risk Factors: The Secondary Analysis Of The 25-Year Cohort Study, Alina Egorova, Bulat Idrisov, Romany Redman, Stanislav Otstavnov, Sergey Soshnikov

Journal of Health Research

Background: Individual lifestyle risk factors have been linked to increased mortality globally; however, there is limited data on these associations in Russia. A secondary analysis of the Russia Longitudinal Monitoring Survey (RLMS) data was conducted to close this gap.

Methods: The secondary data have been obtained from a nationally-representative annual cohort survey conducted by the Higher School of Economics (HSE). In this original study, for the first time in Russia, we extracted RRs for researched risk factors. Of additional original value, we made a prospective-retrospective cohort based on a representative longitudinal survey and provided the deaths as outcomes for survival …


Development Of An Intervention To Foster Post-Traumatic Growth And Perceived Social Support Among Economically Disadvantaged Students In Thailand: A Design-Based Research Study, Ramida Mahantamak, Nanchatsan Sakunpong, Ittipaat Suwathanpornkul Sep 2023

Development Of An Intervention To Foster Post-Traumatic Growth And Perceived Social Support Among Economically Disadvantaged Students In Thailand: A Design-Based Research Study, Ramida Mahantamak, Nanchatsan Sakunpong, Ittipaat Suwathanpornkul

Journal of Health Research

Background: In Thailand, there is a lack of studies investigating the assistance provided for children who are economically disadvantaged. Therefore, in this study, we aimed to develop assistance specifically designed for economically disadvantaged students (EDSs) which takes into account both psychological and social dimensions.

Methods: We utilized a design-based research (DBR) approach for a study with 33 participants. The key participants consisted of nine Thai EDSs, aged between 13 to 15 with trauma resulting from emotional abuse by parents. Non-key participants consisted of twenty-four parents, peers, and teachers. The design involved two iterations in the design cycle.

Results: The completed …


ประสิทธิภาพของถ่านกัมมันต์ที่เตรียมจากกากขี้แป้งของโรงงานน้ำยางข้นในการกำจัดตะกั่วและปรอทในน้ำเสียสังเคราะห์, ธเรศ ศรีสถิตย์, ปนัดดา คำรัตน์, วรรธนา วงษ์สุด Jul 2023

ประสิทธิภาพของถ่านกัมมันต์ที่เตรียมจากกากขี้แป้งของโรงงานน้ำยางข้นในการกำจัดตะกั่วและปรอทในน้ำเสียสังเคราะห์, ธเรศ ศรีสถิตย์, ปนัดดา คำรัตน์, วรรธนา วงษ์สุด

Applied Environmental Research

การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในของเสีย คือ การนำกากขี้แป้งจากโรงงานน้ำยางข้น มาเป็น วัตถุดิบในการผลิตเป็นถ่านกัมมันต์ โดยได้ศึกษาประสิทธิภาพของการกำจัดตะกั่วและปรอทในน้ำเสียสังเคราะห์ เปรียบเทียบระหว่างถ่านกัมมันต์ที่จำหน่ายตามท้องตลาดทั่วไปกับถ่านกัมมันต์ที่ผลิตจากกากขี้แป้งที่ใช้เกลือแกงเป็นสารกระตุ้น และทำการล้างสารกระตุ้นด้วยกรดไฮโดรคลอริค 5% เมื่อนำไปศึกษาลักษณะทางกายภาพ พบว่าถ่านขี้แป้งมีค่าไอโอดีนนัมเบอร์ 510 มิลลิกรัมไอโอดีนต่อกรัม ถ่านกัมมันต์ และมีพื้นที่ผิว 566.39 ตารางเมตรต่อกรัม จากนั้นได้ทำการทดลองแบบแบตซ์ เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการดูดติดผิวตะกั่วและปรอท ได้แก่ พีเอช ความเข้มข้นของโลหะหนัก และปริมาณถ่าน โดยใช้การทดสอบไอโซเทอมการดูดติดผิวแบบฟรุนดลิช พบว่า ที่พีเอช 4 และความเข้มข้น 10 มิลลิกรัม/ลิตร มีเปอร์เซ็นต์การกำจัดตะกั่วและปรอทดีที่สุด จากการทดสอบไอโซเทอม การดูดติดผิวแบบฟรุนดลิชโดยใช้น้ำเสียสังเคราะห์แสดงให้เห็นว่าถ่านกัมมันต์ที่ผลิตจากกากขี้แป้งมีความสามารถในการดูดติดผิวตะกั่วและปรอทได้ 116.18 และ 18.78 มิลลิกรัมต่อกรัมถ่านกัมมันต์ตามลำดับ และถ่านกัมมันต์ที่จำหน่าย ทั่วไป มีความสามารถในการดูดติดผิวตะกั่วและปรอทได้11.07 และ 98.85 มิลลิกรัมต่อกรัมถ่านกัมมันต์ ตามลำดับ การทดสอบแบบต่อเนื่องในคอลัมน์ได้ใช้ถ่านขี้แป้งที่มีดินเหนียวเป็นวัสดุเชื่อมประสาน และทำการป้อนนำเสียอย่างต่อเนื่องแบบไหลลง ด้วยอัตราการไหล 3 แกลลอน/(นาที-ลูกบาศก์ฟุต) พบว่าถ่านกัมมันต์ที่ชั้นความสูง 30, 60, 90 และ 120 เซนติเมตร สามารถบำบัดตะกั่วในน้ำเสียได้ 5865.58, 3910.39, 3909.50 และ 3054.47 BV ตามลำดับ และสามารถบำบัดปรอทได้ 28.87, 16.04, 11.76 และ 9.62 BV ตามลำดับ จากผลการทดลองแบบฟรุนดลิชและแบบต่อเนื่องแสดงให้เห็นว่ากัมมันต์ที่ผลิตจากกากขี้แป้งมีความเหมาะสมในการกำจัดตะกั่วมากกว่าปรอท


การพัฒนาระบบร่วม Bpac-Sbr สำหรับการลดสีและสารอินทรีย์ ในน้ำชะมูลฝอย, ชวลิต รัตนธรรมสกุล, จตุพร วงษ์จาด Jul 2023

การพัฒนาระบบร่วม Bpac-Sbr สำหรับการลดสีและสารอินทรีย์ ในน้ำชะมูลฝอย, ชวลิต รัตนธรรมสกุล, จตุพร วงษ์จาด

Applied Environmental Research

งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาระบบร่วม BPAC-SBR (Combined Biological Powder Activated Carbon-Sequencing Batch Reactor) สำหรับการลดสีและสารอินทรีย์ในน้ำชะมูลฝอยด้วยน้ำเสียที่ใช้เป็นน้ำเสียจากกองฝังกลบขยะมูลฝอยที่กำแพงแสนโดยควบคุมความเข้มข้นซีโอดีเข้าระบบเท่ากับ 1,000 มก./ล. หรือคิดเป็นค่าอัตราภาระบรรทุกซีโอดี 0.571 กก./ลบ.ม.-วัน ความเข้มสีเท่ากับ 170.7 Su ทั้งนี้ศึกษาถึงผลของชนิดและปริมาณผงถ่านกัมมันต์ที่ความเข้มข้นต่างๆ และ อายุสลัดจ์ของระบบที่ 20 และ 30 วัน จากผลการศึกษาพบว่าระบบที่เติมผงถ่านกัมมันต์ชนิด PL-75 ด้วยความเข้มข้น 20 ก./ล. และอายุสลัดจ์ของระบบที่ 20 วัน สามารถกำจัดซีโอดี และสีได้ สูงถึง75.6และ 75.4% ตามลำดับสำหรับกลไกการบำบัดน้ำเสียของระบบส่วนใหญ่เกิดจากการดูดติดผิวร่วมกับปฏิกิริยาชีวเคมี ภายในถังปฏิกรณ์


การบำบัดโลหะในน้ำเสียจากห้องปฏิบัติการวิเคราะห์คุณภาพน้ำด้วยชานอ้อย, กนกพร โกษะโยธิน, จำลอง อรุณเลิศอารีย์, รอัจฉราพร สังข์เพชร, ภัทรา ปัญญาวัฒนกิจ Jul 2023

การบำบัดโลหะในน้ำเสียจากห้องปฏิบัติการวิเคราะห์คุณภาพน้ำด้วยชานอ้อย, กนกพร โกษะโยธิน, จำลอง อรุณเลิศอารีย์, รอัจฉราพร สังข์เพชร, ภัทรา ปัญญาวัฒนกิจ

Applied Environmental Research

การศึกษาการบำบัดโลหะในน้ำเสียจากห้องปฏิบัติการวิเคราะห์คุณภาพน้ำด้วยชานอ้อย มีวัตถุประสงค์ในการ ศึกษาประสิทธิภาพในการดูดซับ สภาวะที่เหมาะสม และค่าใช้จ่ายในการบำบัด ซึ่งโลหะที่ปนเปื้อนในน้ำเสีย ได้แก่ โครเมียม, แมกนีเซียม, เหล็ก, แมงกานีส, แคดเมียม, เงิน และปรอท ทำการวิเคราะห์ด้วยเครื่อง Inductively Coupled Plasma (ICP) และ Mercury Analyzer และทำการทดสอบนัยสำคัญของข้อมูลด้วยวิธี Turkey's Honesty Significant Difference (HSD) ที่ความเชื่อมั่น 95% (p < 0.05) จากผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า สภาวะที่เหมาะสมในการบำบัดโลหะ ได้แก่ พีเอช 9 ปริมาณชานอ้อย 25 กรัมต่อลิตร และระยะเวลาในการสัมผัส 90 นาที กลุ่มชานอ้อยที่มีประสิทธิภาพในการบำบัดสูงที่สุด คือ ชานอ้อยที่ ปรับสภาพ ขนาด 0.045-1.00 มม. และมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p <0.05) จากชานอ้อยกลุ่มอื่นๆ ซึ่งความเข้มข้นของโลหะภายหลังจากการบำบัดในสภาวะที่เหมาะสม ได้แก่ แคดเมียม 0.021 มก./ลิตร, โครเมียม 0.053 มก./ลิตร, เหล็ก 0.078 มก./ลิตร, ปรอท 3.010 มก./ลิตร, แมกนีเซียม 35.920 มก./ลิตร, แมงกานีส 77.100 มก./ลิตร และเงินไม่สามารถตรวจวัดได้


การเตรียมโคแอกกูแลนต์จากกากของเสียอุตสาหกรรมเพื่อใช้ในการบำบัดน้ำเสีย, ธเรศ ศรีสถิตย์, พิงอร วิลวงษ์, มนต์ชัย ตระกูลหวังวีระ Jul 2023

การเตรียมโคแอกกูแลนต์จากกากของเสียอุตสาหกรรมเพื่อใช้ในการบำบัดน้ำเสีย, ธเรศ ศรีสถิตย์, พิงอร วิลวงษ์, มนต์ชัย ตระกูลหวังวีระ

Applied Environmental Research

การวิจัยนี้เป็นการศึกษาความสามารถในการเป็นสารสร้างตะกอน (Coagulant) และสารช่วยสร้างตะกอน (Coagulant aid) ของกากของเสียอุตสาหกรรมเพื่อนำกากของเลียมาใช้ในการบำบัดน้ำเสียโดยมีการทดลองนำกากของเสียอุตสาหกรรม 4 ชนิด ได้แก่เถ้าลอย, เศษยางพาราของโรงงานผลิตน้ำยางข้น,กากของเสียจากอุตสาหกรรมทำ กาวยางและกากตะกอนจากระบบทำน้ำประปา ทั้งนี้ได้ทำการวิเคราะห์คุณสมบัติพื้นฐานทางกายภาพและเคมี,การวัดประจุของสารช่วยตกตะกอน และทำการประเมินความสามารถในการเป็นสารตกตะกอนและสารช่วยตกตะกอนเทียบ กับการใช้สารส้มเพียงอย่างเดียว ผลการทดลองพบว่าคุณสมบัติของกากของเสียอุตสาหกรรมที่นำมาทำการวิเคราะห์มีประจุเป็นลบ จึงเหมาะกับการเป็นสารตกตะกอนร่วมกับสารส้มในการทดลองใช้กากของเสียอุตสาหกรรมเป็นโคแอกกูแลนด์นั้นพบว่าสามารถกำจัดความขุ่นได้ดีในช่วง 100-200 NTU ส่วนที่ความขุ่น 300 NTU ประสิทธิภาพในการกำจัดความขุ่นจะลดลง สำหรับประสิทธิภาพในการกำจัดความขุ่นเมื่อใช้กากของเสียอุตสาหกรรมมาเป็นโคแอกกูแลนด์นั้น มีอยู่ในช่วงร้อยละ 30-85 ที่ pH 6-8 และเมื่อนำกากของเสียอุตสาหกรรมไปตกตะกอนร่วมกับสารส้ม พบว่าประสิทธิภาพในกำจัดความขุ่นเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับการใช้สารส้มเพียงอย่างเดียว ความสามารถในการลดความขุ่นของกากของเสียอุตสาหกรรมแต่ละชนิด แตกต่างกัน โดยเถ้าลอย,กากของเสียจากอุตสาหกรรมทำกาวยาง และกากตะกอนจากระบบทำน้ำประปามีค่าประสิทธิภาพในการลดความขุ่นลงได้ร้อยละ 98.5,97.5 และ 96.5 ตามลำดับ สำหรับเศษยางพาราของโรงงานผลิตน้ำยางข้นไม่เหมาะในการใช้เป็นสารตกตะกอนเนื่องจากฟล้อคไม่แข็งแรง สำหรับค่าใช้จ่ายในการจัดทำสารโคแอกกูแลนด์จากกากของเสียอุตสาหกรรมคิดเป็น 2.5 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนสารส้มคิดในราคา 6 บาทต่อกิโลกรัม ดังนั้นการนำกากของเสียอุตสาหกรรมมาช่วยสร้างตะกอน จึงมีราคาถูกกว่าการใช้สารส้มทั้งหมด และสำหรับเถ้าลอยนั้นไม่มีค่าใช้จ่ายในการจัดทำ จึงควรพิจารณามาใช้เป็นสารช่วยสร้าง ตะกอนร่วมกับการสารส้มในการบำบัดน้ำเสีย.


การบำบัดน้ำเสียฟาร์มสุกรโดยบึงประดิษฐ์, พิจิตรา ชโยปถัมภ์ Jul 2023

การบำบัดน้ำเสียฟาร์มสุกรโดยบึงประดิษฐ์, พิจิตรา ชโยปถัมภ์

Applied Environmental Research

การวิจัยนี้ได้ทำการศึกษาเพื่อหาประสิทธิภาพการบำบัดน้ำเสียฟาร์มสุกรโดยบึงประดิษฐ์ และเพื่อหาแบบจำลองทางคณิตศาสตร์การกำจัด BOD ของบึงประดิษฐ์โดยใช้น้ำเสียฟาร์มสุกรที่ผ่านการบำบัดขั้นด้นจากบ่อผึ่ง และ ได้ทำการศึกษาบึงประดิษฐ์โดยใช้พืช 2 ชนิด คือ กกกลม (Cyperus corymbosus Rottb.) และ ธูปฤาษี (Typha angustifolia Linn.) ที่เวลากักพัก ชลศาสตร์ 4-27 วัน ผลการวิจัยพบว่า ประสิทธิภาพการกำจัด COD และ BOD อยู่ในช่วง 64-92% TSS อยู่ในช่วง 70-97% TKN อยู่ในช่วง 72-96% NO3N อยู่ในช่วง 47-83% TP อยู่ในช่วง 39-81% และ Total Coliform Bacteria อยู่ในช่วง 52-85% สำหรับแบบจำลองทางคณิตศาสตร์การกำจัด BOD ของบึง ประดิษฐ์คือ Ce/C0 = Fxp(-0.7KTAv 1.75t) ซึ่งจากการวิจัยได้ค่าคงที่ F ของบึงประดิษฐ์กกลมและบึงประดิษฐ์ธูปฤาษีเท่ากับ 0.463 และ 0.566 ตามลำดับ และค่า KT ของบึงประดิษฐ์กกกลมและบึงประดิษฐ์ธูปฤาษีเท่ากับ 0.00012 และ 0.00020 ตามลำดับ โดยสามารถใช้ค่าคงที่ดังกล่าวได้ก็ต่อเมื่อบึงประดิษฐ์มีเวลากักพักชลศาสตร์อยู่ในช่วง 4-27 วัน คำสำคัญ : บึงประดิษฐ์ การบำบัดน้ำเสียฟาร์มสุกร, แบบจำลองทางคณิตศาสตร์การกำจัด BOD


อิทธิพลของความเค็มและอัตราการรับน้ำเสียต่อการปลดปล่อยก๊าซมีเทนจากระบบบำบัดน้ำเสียแบบพื้นที่ชุ่มน้ำเทียม, นิสา แก้วแถมทอง, สุวันชัย นิติศรวุฒิ Jul 2023

อิทธิพลของความเค็มและอัตราการรับน้ำเสียต่อการปลดปล่อยก๊าซมีเทนจากระบบบำบัดน้ำเสียแบบพื้นที่ชุ่มน้ำเทียม, นิสา แก้วแถมทอง, สุวันชัย นิติศรวุฒิ

Applied Environmental Research

งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาถึงอิทธิพลของความเค็มและอัตราการรับน้ำเสียเข้าระบบบำบัดน้ำเสียแบบพื้นที่ชุ่มน้ำเทียมต่อการปลดปล่อยก๊าซมีเทน โดยใช้ความเค็มในรูปของค่าการนำไฟฟ้า (Electrical Conductivity) สูงถึงระดับ 16 dS/m. และควบคุมระยะเวลาของน้ำเสียให้อยู่ในระบบบำบัด 2-5 วัน ผลการศึกษาพบว่า ค่าเฉลี่ยของการปลดปล่อยก๊าซมีเทน มีค่าอยู่ในช่วง 4.0-75.7 มก./ตร.ม./ชม. ปริมาณการปลดปล่อยก๊าซมีเทนลดลง 40-50% เมื่อน้ำเสียมีความเค็ม 16 dS/m. เนื่องจากความเค็มยับยั้งกิจกรรมของแบคทีเรียและการเจริญเติบโตของพืชนอกจากนี้ยังพบว่าบริเวณที่อยู่ใกล้กับตำแหน่งที่ปล่อยน้ำเสียเข้าสู่ระบบจะมีการปลดปล่อยก๊าซมีเทนที่สูงกว่า ทั้งนี้เนื่องจากมีปริมาณสารอินทรีย์สะสมอยู่ในบริเวณดังกล่าวมากกว่า อย่างไรก็ตาม การเพิ่มปริมาณสารอินทรีย์ลงในน้ำเสียจะไม่ส่งผลให้มีการปลดปล่อยก๊าชมีเทนที่สูงขึ้นในช่วงเวลากลางวัน เนื่องจากน้ำเสียในระบบมีความลึกไม่มากนักประกอบกับการเกิดกระบวนการสังเคราะห์แสง ซึ่งส่งผล ให้เกิดสภาวะ aerobic ในบริเวณชั้นน้ำ


ชนิดพันธุ์ต่างถิ่น : แบบแผนและสถานการณ์ปัจจุบัน, สุชนา เชาวนิชย์ Jul 2023

ชนิดพันธุ์ต่างถิ่น : แบบแผนและสถานการณ์ปัจจุบัน, สุชนา เชาวนิชย์

Applied Environmental Research

นักวิทยาศาสตร์ได้มีการตระหนักถึงการรุกรานของชนิดพันธุ์ต่างถิ่นในระบบนิเวศบนบกมาช้านาน แต่เมื่อไม่นานมานี้ที่ได้มีการพบถึงผลกระทบของชนิดพันธุต่างถิ่นที่มีต่อระบบนิเวศทางน้ำ การรุกรานของชนิดพันธุ์ต่างถิ่นมีผลกระทบอย่างมากต่อระบบนิเวศ เศรษฐกิจ และสุขภาพของมนุษย์ การนำชนิดพันธุ์ต่างถิ่นเข้ามาในระบบนิเวศมีได้ 10 รูปแบบ แต่อย่างไรก็ตามชนิดพันธุ์ต่างถิ่นส่วนมากจะถูกนำเข้ามาโดยน้ำอับเถาในเรือส่งสินค้าต่างประเทศขนาดใหญ่ ชนิดพันธุ์ ต่างถิ่นจะสามารถคุกคามต่อระบบนิเวศใหม่ได้สำเร็จนั้นก็ต่อเมื่อชนิดพันธุ์ต่างถิ่นสามารถแพร่กระจายในสิงแวดล้อมใหม่ได้ ปัจจัยที่ส่งเสริมการรุกรานของชนิดพันธุ์ต่างถิ่นมีหลายอย่างประกอบกัน แต่สิ่งที่สำคัญคือ เมล็ดพันธุ์ของชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่เข้ามา ที่อยู่อาศัยใหม่ที่เหมาะสม และความสำเร็จของการรุกรานของชนิดพันธุ์ต่างถิ่นในที่ต่างๆ Global Invasive Species โปรแกรม ได้พัฒนาแนวทาง 10 รูปแบบ สำหรับการป้องกันและแก้ไขปัญหาชนิดพันธุ์ต่างถิ่น แนวทางนี้ควรที่จะมีการปฏิบัติทั้งในระดับประเทศ และระดับนานาชาติ


An Audit Of Diabetes-Dependent Quality Of Life And Glycemic Control Among Type 2 Diabetes Patients In A Tertiary Hospital In Bangkok: A Hospital-Based Cross-Sectional Study, Nattaya Tungsirikoon, Nopporn Howteerakul, Nawarat Suwannapong, Petch Rawdaree Jun 2023

An Audit Of Diabetes-Dependent Quality Of Life And Glycemic Control Among Type 2 Diabetes Patients In A Tertiary Hospital In Bangkok: A Hospital-Based Cross-Sectional Study, Nattaya Tungsirikoon, Nopporn Howteerakul, Nawarat Suwannapong, Petch Rawdaree

Journal of Health Research

Background: This hospital-based cross-sectional study aimed to examine the association between diabetes-specific quality of life (QoL), diabetes-related clinical characteristics and glycemic control among type 2 diabetes (T2DM) patients.

Methods: 335 T2DM patients receiving treatment at the diabetes clinic of a tertiary hospital in Bangkok, Thailand, were recruited into the study. The Audit of Diabetes-Dependent Quality of Life (ADDQoL19) was used to assess QoL. The ADDQoL scores were split into two groups using quartiles. The group in the lower quartile was considered as “having low QoL.” Hemoglobin A1c (A1C) was used as an index of glycemic control.

Results: 67.8% of participants …


Workplace Violence Against Frontline Nurses In A University Hospital In Bangkok, Thailand: A Cross-Sectional Study, Nareerat Pummala, Ann Jirapongsuwan, Sukhontha Siri, Surintorn Kalampakorn Mar 2023

Workplace Violence Against Frontline Nurses In A University Hospital In Bangkok, Thailand: A Cross-Sectional Study, Nareerat Pummala, Ann Jirapongsuwan, Sukhontha Siri, Surintorn Kalampakorn

Journal of Health Research

Background: Workplace violence against nurses has increased attention worldwide. This study aimed to investigate the prevalence of workplace violence (WPV) and related factors against frontline nurses in a university hospital in Bangkok, Thailand.

Method: A cross-sectional study was conducted among 275 nurses. Bivariate and multivariate logistic regression was applied to identify any associations.

Results: Findings indicated that the prevalence of psychological WPV was 60.0% and physical WPV was 9.1%. Factors associated with physical WPV included working in the emergency, outpatient or psychiatric examination units (aOR= 4.62; 95% CI: 1.86-11.50). Additionally, work experience(aOR= 2.66; 95% CI: 1.53-4.62), personality type B (aOR=2.51; …


The Relationship Between Coronavirus-Related Anxiety On Physical Frailty, Psychological Frailty, And Social Frailty In Older Community-Dwellers In Taiwan During The Covid-19 Pandemic, I-Chun Chen, Shao-Hsi Chang Jan 2023

The Relationship Between Coronavirus-Related Anxiety On Physical Frailty, Psychological Frailty, And Social Frailty In Older Community-Dwellers In Taiwan During The Covid-19 Pandemic, I-Chun Chen, Shao-Hsi Chang

Journal of Health Research

Background: Most activities in community centers have declined as a countermeasure against the COVID-19 pandemic. Consequently, multidimensional frailty rates gradually worsened. This research aimed to explore coronavirus-related anxiety and others factors that influence physical, psychological, and social frailty in older community-dwellers in Taiwan during the COVID-19 pandemic.

Methods: Two hundred and eight (208) elderlies over 65 years of age who lived in 12 administrative districts of Taipei City during the COVID-19 pandemic completed online questionnaires. The questionnaire asked for basic information, and included the coronavirus Pandemic Anxiety Scale, SARC-CalF of physical frailty, the Tilburg Frailty Indicator of psychological frailty, and …