Open Access. Powered by Scholars. Published by Universities.®

Social and Behavioral Sciences Commons

Open Access. Powered by Scholars. Published by Universities.®

Chulalongkorn University

Discipline
Keyword
Publication Year
Publication
Publication Type

Articles 2881 - 2910 of 5570

Full-Text Articles in Social and Behavioral Sciences

อิทธิพลของบุคลิกภาพผู้บริโภค และบุคลิกภาพตราสินค้า ต่อความภักดีต่อตราสินค้ารถยนต์, พิมพ์ภัทร ชูตระกูล Jan 2017

อิทธิพลของบุคลิกภาพผู้บริโภค และบุคลิกภาพตราสินค้า ต่อความภักดีต่อตราสินค้ารถยนต์, พิมพ์ภัทร ชูตระกูล

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างบุคลิกภาพผู้บริโภค บุคลิกภาพตราสินค้า และความภักดีต่อสินค้า โดยการวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสหสัมพันธ์ (correlation research) ผู้วิจัยใช้วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive sampling) เป็นผู้ใช้รถยนต์นั่งตราสินค้าโตโยต้า (Toyota) อายุ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 300 คน ผลการวิเคราะห์สมการพบว่าบุคลิกภาพตราสินค้าบางมิติ (บุคลิกภาพตราสินค้าแบบจริงใจ / บุคลิกภาพตราสินค้าแบบมีความสามารถ / บุคลิกภาพตราสินค้าแบบน่าตื่นเต้น) เป็นตัวแปรส่งผ่านความสัมพันธ์ระหว่างบุคลิกภาพผู้บริโภคบางองค์ประกอบ (บุคลิกภาพผู้บริโภคแบบเป็นมิตร และบุคลิกภาพผู้บริโภคแบบมีจิตสำนึก) และความภักดีต่อตราสินค้า (ขั้นความรู้สึกและการกระทำ) โดยบุคลิกภาพตราสินค้าแบบมีความสามารถส่งอิทธิพลทางบวกต่อความภักดีต่อตราสินค้าขั้นความรู้สึกมากที่สุด โดยมีค่าอิทธิพล .41 (p < .001) ในขณะที่บุคลิกภาพตราสินค้าแบบจริงใจส่งอิทธิพลทางบวกต่อความภักดีต่อตราสินค้าขั้นการกระทำมากที่สุด โดยมีค่าอิทธิพล .39 (p < .01)


การพัฒนาและตรวจสอบคุณภาพชุดเครื่องมือในการประเมินพัฒนาการทางสมองและระบบประสาทสำหรับเด็กไทยวัย 12 และ 18 เดือน ผ่านพฤติกรรมการเล่นของเล่น, วธูสิริ พรหมดวง Jan 2017

การพัฒนาและตรวจสอบคุณภาพชุดเครื่องมือในการประเมินพัฒนาการทางสมองและระบบประสาทสำหรับเด็กไทยวัย 12 และ 18 เดือน ผ่านพฤติกรรมการเล่นของเล่น, วธูสิริ พรหมดวง

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและตรวจสอบคุณภาพของชุดเครื่องมือในการประเมินพัฒนาการทางสมองและระบบประสาทสำหรับเด็กไทยผ่านพฤติกรรมการเล่นของเล่นของเด็ก กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้คือ เด็กไทยอายุ 12 เดือน จำนวน 30 คน และเด็กไทยอายุ 18 เดือน จำนวน 30 คน จากครอบครัวที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เครื่องมือที่พัฒนาและตรวจสอบคุณภาพในงานวิจัยนี้ ได้แก่ 1. Delay recognition task พัฒนาตามแนวคิดของ Rose et al. (2011) ใช้ในการประเมินความจำแบบการจำได้ (Recognition memory) 2. Deferred imitation task พัฒนาตามแนวคิดของ Bauer et al. (2000) ใช้ในการประเมินความจำแบบการระลึก (Recall memory) 3. Looking version of the A-not-B task พัฒนาตามแนวคิดของ Bell และ Adams (1999) ใช้ในการประเมินความจำใช้งาน (Working memory) ผลการวิจัยพบว่า เครื่องมือ Delay recognition task มีค่าความเที่ยงระหว่างผู้ประเมินในระดับดีมาก คือ มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน (Pearson correlation coefficient) เท่ากับ .966 การวิเคราะห์ independent samples t-test พบว่าเด็กอายุ 18 เดือนมีคะแนนความจำแบบการจำได้สูงกว่าเด็ก 12 เดือนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t = -2.795, p < .005) ซึ่งแสดงว่าเครื่องมือนี้มีความตรงเชิงภาวะสันนิษฐาน เครื่องมือ Deferred imitation task มีค่าความเที่ยงระหว่างผู้ประเมินในระดับดีมาก คือ มีค่าสัมประสิทธิ์แคปปา (Cohen's kappa coefficient) เท่ากับ .879 การวิเคราะห์ความแปรปรวนร่วมแบบ one-way ANCOVA พบว่าเด็กอายุ 18 เดือนมีคะแนนความจำแบบการระลึกสูงกว่าเด็ก 12 เดือนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (F(1,57) = 20.002, p < .001) ซึ่งแสดงว่าเครื่องมือนี้มีความตรงเชิงภาวะสันนิษฐาน เครื่องมือ Looking version of the A-not-B task มีค่าความเที่ยงระหว่างผู้ประเมินในระดับดีมาก คือ มีค่าสัมประสิทธิ์แคปปา (Cohen's kappa coefficient) เท่ากับ 1.000 การวิเคราะห์ independent samples t-test พบว่าเด็กอายุ 18 เดือนมีคะแนนความจำใช้งานสูงกว่าเด็ก 12 เดือนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t = -3.842, p < .001) ซึ่งแสดงว่าเครื่องมือนี้มีความตรงเชิงภาวะสันนิษฐาน


ความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้คู่ครองในอุดมคติและการเลือกรูปแบบการรับมือกับปัญหาโดยมีความเชื่อส่วนบุคคลเกี่ยวกับความสัมพันธ์เป็นตัวแปรกำกับและความพึงพอใจในความสัมพันธ์เป็นตัวแปรส่งผ่าน, วสพร ไชยะกุล Jan 2017

ความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้คู่ครองในอุดมคติและการเลือกรูปแบบการรับมือกับปัญหาโดยมีความเชื่อส่วนบุคคลเกี่ยวกับความสัมพันธ์เป็นตัวแปรกำกับและความพึงพอใจในความสัมพันธ์เป็นตัวแปรส่งผ่าน, วสพร ไชยะกุล

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

งานวิจัยนี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ว่าคู่ครองตรงกับอุดมคติ และรูปแบบการรับมือกับปัญหา โดยมีความพึงพอใจในความสัมพันธ์เป็นตัวแปรส่งผ่าน และความเชื่อส่วนบุคคลเกี่ยวกับความสัมพันธ์แบบเติบโตได้เป็นตัวแปรกำกับ กลุ่มตัวอย่างเป็นคนทั่วไป อายุ 18-60 ปี จำนวน 302 คน (ชาย 164 คน หญิง 138 คน) ที่มีคู่รักในปัจจุบันซึ่งคบหากันเป็นระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 6 เดือน เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามออนไลน์ ผู้เข้าร่วมการวิจัยตอบแบบสอบถาม การรับรู้ว่าคู่ครองตรงกับอุดมคติ ความเชื่อส่วนบุคคลเกี่ยวกับความสัมพันธ์แบบเติบโตได้ การรับมือกับปัญหาแบบส่งเสริมความสัมพันธ์ และความพึงพอใจในความสัมพันธ์ ผลพบว่าการรับรู้ว่าคู่ครองตรงกับอุดมคติส่งอิทธิพลทางตรงทางบวกต่อความพึงพอใจในความสัมพันธ์ และมีอิทธิพลทางอ้อมต่อรูปแบบการรับมือกับปัญหาที่ส่งเสริมความสัมพันธ์และรูปแบบการรับมือกับปัญหาที่บั่นทอนความสัมพันธ์ โดยมีความพึงพอใจในความสัมพันธ์เป็นตัวแปรส่งผ่าน แต่ความเชื่อส่วนบุคคลเกี่ยวกับความสัมพันธ์แบบเติบโตได้ไม่มีอิทธิพลกำกับความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรดังกล่าว ผลที่พบสามารถอธิบายได้ว่า บุคคลที่มีการรับรู้ว่าคู่ครองตรงกับอุดมคติสูง จะมีความพึงพอใจในความสัมพันธ์มากกว่า ส่งผลให้มีแนวโน้มที่จะใช้รูปแบบการรับมือกับปัญหาที่ส่งเสริมความสัมพันธ์มากกว่า ในทางกลับกัน ผู้ที่มีการรับรู้ว่าคู่ครองตรงกับอุดมคติต่ำ มีความพึงพอใจในความสัมพันธ์ต่ำกว่า ส่งผลให้มีแนวโน้มที่จะใช้รูปแบบการรับมือกับปัญหาที่บั่นทอนความสัมพันธ์มากกว่า โดยแบบแผนความสัมพันธ์นี้เกิดขึ้นทั้งในคนที่มีความเชื่อส่วนบุคคลเกี่ยวกับความสัมพันธ์แบบเติบโตได้สูงและต่ำ


กรอบคิดและสุขภาวะ: การวิเคราะห์อภิมาน, ศุภณัฐ ศรีอุทัยสุข Jan 2017

กรอบคิดและสุขภาวะ: การวิเคราะห์อภิมาน, ศุภณัฐ ศรีอุทัยสุข

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ศาสตร์จิตวิทยาศึกษาแนวคิดเรื่องกรอบคิดแบบเติบโตมานานกว่า 30 ปี แต่เมื่อไม่นานมานี้เพิ่งมีการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างกรอบคิดและสุขภาวะ การวิจัยครั้งนี้ต้องการสร้างองค์ความรู้ใหม่จากงานวิจัยที่มีอยู่เดิมด้วยการวิเคราะห์อภิมาน เพื่อทดสอบขนาดอิทธิพลของความสัมพันธ์ระหว่างกรอบคิดแบบต่าง ๆ กับสุขภาวะ และทดสอบว่าขนาดอิทธิพลเหล่านั้นถูกกำกับด้วยตัวแปรด้านของกรอบคิดและช่วงอายุของกลุ่มตัวอย่าง ทำให้ขนาดอิทธิพลของความสัมพันธ์ระหว่างกรอบคิดแบบต่าง ๆ กับสุขภาวะมีขนาดแตกต่างกันหรือไม่ ผลการวิเคราะห์อภิมานจากงานวิจัยจำนวน 21 เรื่อง กลุ่มตัวอย่างจำนวน 31 กลุ่ม และค่าขนาดอิทธิพลที่ถูกแปลงให้อยู่ในรูปค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์จำนวน 64 ค่า พบว่ากรอบคิดแบบเติบโตมีความสัมพันธ์ทางบวกกับสุขภาวะอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติตามสมมุติฐานที่ตั้งไว้ แต่มีขนาดอิทธิพลในระดับต่ำ (r = .134, p < .001) อย่างไรก็ดี ผลการทดสอบตัวแปรกำกับไม่พบว่าด้านของกรอบคิด และช่วงอายุของกลุ่มตัวอย่างมีอิทธิพลกำกับความสัมพันธ์ของตัวแปรทั้งสอง จึงไม่สนับสนุนสมมติฐานที่ตั้งไว้ นอกจากนี้มีข้อค้นพบที่น่าสนใจเพิ่มเติมว่า ในขณะที่งานวิจัยเชิงสหสัมพันธ์ส่วนใหญ่พบความสัมพันธ์ระหว่างกรอบคิดกับสุขภาวะอย่างที่มีนัยสำคัญทางสถิติ แต่งานวิจัยที่จัดกระทำกรอบคิดไม่พบว่ามีอิทธิพลทำให้สุขภาวะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยสรุปงานวิเคราะห์อภิมานนี้บ่งชี้ว่าบุคคลที่เชื่อว่าคุณลักษณะต่าง ๆ สามารถเปลี่ยนแปลงได้มีแนวโน้มที่จะมีสุขภาวะที่ดีมากกว่าบุคคลที่มองว่าคุณลักษณะต่าง ๆ เป็นสิ่งตายตัว แต่ยังไม่พบหลักฐานเชิงประจักษ์ที่สรุปความเป็นสาเหตุได้ชัดเจนว่ากรอบคิดทำให้เกิดสุขภาวะโดยตรงหรือโดยทันที


Socioeconomic Determinants Of Happiness Of The Elderly In Bhutan, Tashi Duba Jan 2017

Socioeconomic Determinants Of Happiness Of The Elderly In Bhutan, Tashi Duba

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

Elderly in Bhutan are rising steadily as a proportion of total population. In 2015, population older than 60 constituted about 7.3% of the total population compared to 6.9% in 2010. By 2030, the elderly population is estimated to reach 10.1% of total population. Along with growing numbers of elderly in Bhutan and rapid socioeconomic transformations, the individual-level of happiness decreases with age, the lowest being among the elderly (the Gross National Happiness Index surveys of 2010 and 2015 and Bhutan Living Standard Survey 2012). Nevertheless, there is limited literature exploring factors that are associated with happiness of the elderly. This …


Regional Development Models With Clean Coal Power Plants, Christoph Casimir Odermatt Jan 2017

Regional Development Models With Clean Coal Power Plants, Christoph Casimir Odermatt

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

This thesis examines clean coal technology to be used in Thailand in three studies. The economic impacts on the economic structure of southern Thailand are forecasted with the input-output method. Further, the relative levelized costs of clean coal energy relative to its amount of carbon equivalent emissions are compared to other technologies and their carbon equivalent emissions in order to compute a carbon certificate price. Lastly, the costs of the solar subsidy on the end consumer is calculated in different scenarios. The results suggest that there may be slight changes in the economic structure in southern Thailand with increases in …


Tobacco Use, Health Care Utilization, Household Expenditure And Smoking Cessation In China, Changle Li Jan 2017

Tobacco Use, Health Care Utilization, Household Expenditure And Smoking Cessation In China, Changle Li

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

This dissertation studied the tobacco use impact of on health care utilization, household expenditure, and self-rated health among rural residents in rural China. The 2010-2014 China Family Panel Studies data were employed here. Moreover, this study also conducted the randomized controlled trial and analyzed the cost-effectiveness smoking cessation intervention among college-aged smokers in Inner Mongolia, China. The main findings showed: (1) Current and former smokers use more outpatient care than non-smokers. Moreover, former smokers use more inpatient care than non-smokers in rural China. (2) Long-term quitters decreased the probability of using inpatient care compared with recent and moderate-term quitters in …


Asset Pricing And Network Topology, Harnchai Eng-Uthaiwat Jan 2017

Asset Pricing And Network Topology, Harnchai Eng-Uthaiwat

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

This dissertation provides new empirical evidence for the relationship between network structure and asset returns in US, international markets, and Thailand. Previous studies find that a network of return correlations provides the meaningful economic taxonomy of the equity market. This finding makes the network structure a suitable channel through which an idiosyncratic shock propagates. This network feature can eliminate or amplify the idiosyncratic shock on the system-wide level. Therefore, the diversifying argument of the capital asset pricing models is not always true as the idiosyncratic shock becomes more significant when interacting with the network measures. Based on this idiosyncratic shock …


Economic Policy Uncertainty And Carry Trade Strategy, Tiranan Sanguanjeen Jan 2017

Economic Policy Uncertainty And Carry Trade Strategy, Tiranan Sanguanjeen

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

This study provides a comprehensive analysis of the impact of economic policy uncertainty on carry trade. Based on 24 countries (both emerging and developed markets) during the past 17 years, the paper considers five strategies of carry trade investment (i.e. positive carry, carry to risk, yield slope, policy change and valuation), three methods of portfolio constructions (equal weight, risk parity and mean variance optimization), and four types of economic policy uncertainties (US, Japan, EU and Global). Based on vector autoregressive model, it is found that US and Japan economic policy uncertainties have most impact on carry trade return. However, direction …


Cost-Effectiveness Analysis Of Aripiprazole Compare With Risperidone In Patient With Autism Spectrum Disorders, Kridsadadanudej Wongwejwiwat Jan 2017

Cost-Effectiveness Analysis Of Aripiprazole Compare With Risperidone In Patient With Autism Spectrum Disorders, Kridsadadanudej Wongwejwiwat

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

Autism spectrum disorders (ASD) are a group of deficits in social interaction and social communication (American Psychiatric Association, 2013). The result of a study in Thailand found that ASD patients with less self-reliance increased the number of caregivers, indirect costs and total costs (Naruemol Junsamut, 2014). Risperidone and aripiprazole showed the effectiveness for treating irritability/disruptive behavior in ASD (LeClerc & Easley, 2015). The objective of this research was to estimate the cost-effectiveness of aripiprazole compared with risperidone for treating ASD patient. Seven studies were selected to analyze the outcomes of effectiveness utilizing network meta-analysis. The number of improving symptoms that …


Factors Associated With Infant And Under-Five Mortality In Myanmar, Lal Hrin Mawi Jan 2017

Factors Associated With Infant And Under-Five Mortality In Myanmar, Lal Hrin Mawi

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

Myanmar is committed to achieve unfinished agenda for reducing child mortality, fourth indicator of Millennium Development Goals (MDGs) and global target to achieve under-five mortality rate 25 per 1000 live births in 2030. Moreover, under-five mortality varies across states and regions within the country and the study aims to explore determinants of mortality across different health care planning zones. The results showed that infants who were breastfed had lower risk of death by 11.7 percent comparison with children who were not, and twin or multiple births were more likely to die by 8.1%. Moreover, short preceding birth interval, mothers with …


Technical Efficiency Of Private Clinics Under Universal Coverage Scheme In Bangkok, Thailand, Pimpitcha Kangyang Jan 2017

Technical Efficiency Of Private Clinics Under Universal Coverage Scheme In Bangkok, Thailand, Pimpitcha Kangyang

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

This study aimed to measure technical efficiency of 88 private clinics under Universal Coverage Scheme (UC) in Bangkok in fiscal year 2017 and to identify the factors affecting their technical efficiency. The study was divided to two parts. The first part was measuring of technical efficiency with data envelopment analysis (DEA) and the second part was identifying the factors affecting efficiency with regression analysis using Tobit model. The result of DEA under a variable return to scale assumption showed that 84 private clinics under UC (95.45 percent of the target of study) were operating on pure technical efficiency frontier (VRSTE), …


Private Stakeholders’ Perception On Leveraging Provider Payment Methods For Both Public And Private Sectors To Help Meet National Health Goals In Myanmar, Nay Nyi Nyi Lwin Jan 2017

Private Stakeholders’ Perception On Leveraging Provider Payment Methods For Both Public And Private Sectors To Help Meet National Health Goals In Myanmar, Nay Nyi Nyi Lwin

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

Myanmar has committed to achieving universal health coverage (UHC) by 2030. With a poor economy and scarce resource, the government alone cannot achieve UHC without the collaboration of private stakeholders which has an increasing role in the health sector with evolving political and administrative circumstances. To uplift equitable access to essential quality health care services with financial risk protection and efficiency, the country is eager to know a suitable mix of provider payment methods which can be used as key levers to support achieving UHC goals. This study is designed to explore the private stakeholders' perception on leveraging provider payment …


Cost-Effectiveness Analysis Of Laparoscopic Cholecystectomy Compared With Open Cholecystectomy At A Private Hospital In Myanmar, Pye Paing Heing Jan 2017

Cost-Effectiveness Analysis Of Laparoscopic Cholecystectomy Compared With Open Cholecystectomy At A Private Hospital In Myanmar, Pye Paing Heing

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

Laparoscopic cholecystectomy (LC) has become the main treatment of uncomplicated gallstone diseases in developed countries due to shorter hospital stay, faster recovery time and other benefits. However, it is still controversial for developing countries. This study aims to evaluate whether laparoscopic cholecystectomy is more cost-effective than open cholecystectomy (OC) in the treatment of gallstone diseases in Myanmar. A cost-effectiveness analysis was evaluated from the provider perspective. The required cost and outcome data were obtained from a private hospital which is located in Yangon, Myanmar. Two outcomes are used as effectiveness in this study, namely cases of complications avoided and cases …


Technical Efficiency Of Public District Hospitals In Vietnam, Thi Binh Lam Jan 2017

Technical Efficiency Of Public District Hospitals In Vietnam, Thi Binh Lam

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

The objectives of this study aimed to evaluate the Technical Efficiency of public district hospitals in Vietnam and to determine factors affecting the hospitals' efficiency. Input-Oriented Data Envelopment Analysis (DEA) model was applied to estimate the technical efficiency scores among 52 public district hospitals in 6 provinces of Vietnam in 2014. Then, Tobit regression model was employed to explore the determinant factors. Results of the DEA indicated that there were considerable variations of efficiency scores in terms of return to scale assumptions. The average variable return to scale technical efficiency (VRSTE) and constant return to scale technical efficiency (CRSTE) were …


The Relationship Between Income And Food Intake In China, Xinfang Li Jan 2017

The Relationship Between Income And Food Intake In China, Xinfang Li

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

This study investigated the effect of food intake, which is considered a form of health investment, on income in China, accounting also for socioeconomic factors. It used the 2011 wave of the China Health and Nutrition survey, including 42,870 observations in the analysis. Six dependent variables, each representing a different measure of income, were explored. The main explanatory variables included a 3-day total food consumption (grams), a 3-day average intake of energy (kilocalories), a 3-day average intake of carbohydrate (grams), a 3-day average intake of protein (grams) and a 3-day average intake of fat (grams). Personal, household, and area characteristics …


Factors Affecting Health Seeking Behavior Of People In Ejin Horo County, China, Yuan Yuan Jan 2017

Factors Affecting Health Seeking Behavior Of People In Ejin Horo County, China, Yuan Yuan

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

This study aims to explore health seeking behavior in Ejin Horo county, China, specifically it tries to assess how socioeconomic-demographic factors and health literacy affect the decision to use formal outpatient care and conditioning on use the choice among the three-tiered health care facilities visited by people in Ejin Horo county, China during the period of 2016. Our attention is placed on the demand side because Ejin Horo county is the most powerful county in Inner Mongolia and the supply of health services in this county is quite comprehensive. In essence, the study on health seeking behavior will be able …


การตรวจสอบและการตัดสินใจเชื่อสารสนเทศด้านโภชนาการบนเฟซบุ๊กของนิสิตปริญญาตรีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, กานต์พงศ์ เกียรติวัชรธารา Jan 2017

การตรวจสอบและการตัดสินใจเชื่อสารสนเทศด้านโภชนาการบนเฟซบุ๊กของนิสิตปริญญาตรีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, กานต์พงศ์ เกียรติวัชรธารา

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการตรวจสอบและการตัดสินใจเชื่อสารสนเทศด้านโภชนาการบนเฟซบุ๊กของนิสิตปริญญาตรี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในด้านลักษณะการเปิดรับสารสนเทศ วิธีการตรวจสอบสารสนเทศ และปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเชื่อสารสนเทศ การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ ใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยมีขอบเขตและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นิสิตปริญญาตรี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จำนวน 300 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างตามสะดวก เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูล ผลการวิจัยพบว่าลักษณะการเปิดรับสารสนเทศบนเฟซบุ๊กของนิสิตส่วนใหญ่ คือ การได้รับจากเพื่อน นิสิตส่วนใหญ่ตรวจสอบสารสนเทศบนเฟซบุ๊กโดยพิจารณาการแยกแยะเรื่องจริงหรือความคิดเห็นส่วนตัวของผู้โพสต์ และปัจจัยที่ส่งผลในระดับมากต่อการตัดสินใจเชื่อสารสนเทศด้านโภชนาการของนิสิต คือ ปัจจัยด้านความน่าเชื่อถือของโพสต์ ข้อมูลในโพสต์สามารถตรวจสอบกับแหล่งอื่นได้


พฤติกรรมการอ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย, กิตติมา พลเทพ Jan 2017

พฤติกรรมการอ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย, กิตติมา พลเทพ

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการอ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย ในด้านวัตถุประสงค์ เหตุผลที่อ่าน การเข้าถึง ประเภท เนื้อหา ภาษาของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ วิธีอ่าน อุปกรณ์ที่ใช้ วิธีการบันทึกข้อความ สถานที่ ช่วงเวลาที่อ่าน และปัญหาที่นักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายประสบในการอ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายที่อ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ของโรงเรียนสังกัดสำนักงานพันธกิจการศึกษา มูลนิธิแห่งสภาคริสตจักรในประเทศไทย ที่มีนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6 จำนวน 15 โรงเรียน (หลักสูตรภาษาไทย) รวมทั้งสิ้น 385 คน ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายจำนวนมากที่สุด อ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์เพื่อเพิ่มพูนความรู้ เหตุผลที่อ่านเพราะตรงกับความสนใจ เข้าถึงหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ผ่านแอปพลิเคชัน ประเภทของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ที่อ่านมากที่สุดคือหนังสือความรู้ทั่วไป ที่มีเนื้อหาตลกขบขัน นักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายส่วนใหญอ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์เป็นภาษาไทย โดยใข้วิธีอ่านผ่านหน้าจออย่างรวดเร็ว บนสมาร์ทโฟน บันทึกข้อความระหว่างและหลังการอ่านด้วยการคัดลอกและวางข้อมูลที่สำคัญลงในอุปกรณ์ที่อ่าน โดยอ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ที่บ้าน เวลาที่ใช้อ่านเป็นช่วงเวลาของวันหยุด ในการอ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์นักเรียนประสบปัญหาในระดับปานกลาง และระดับน้อย ปัญหาที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ เครือข่ายอินเทอร์เน็ตล่าช้าทำให้เป็นอุปสรรคในการเข้าถึงหนังสืออิเล็กทรอนิกส์


การประเมินการเข้าถึงคอลเลกชั่นหนังสือพิมพ์เก่าฉบับดิจิทัลของหอสมุดแห่งชาติด้วยวิธีการสืบค้นจากหัวเรื่องและเนื้อหาฉบับเต็ม, งามเพ็ญ ยาวงษ์ Jan 2017

การประเมินการเข้าถึงคอลเลกชั่นหนังสือพิมพ์เก่าฉบับดิจิทัลของหอสมุดแห่งชาติด้วยวิธีการสืบค้นจากหัวเรื่องและเนื้อหาฉบับเต็ม, งามเพ็ญ ยาวงษ์

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาการประเมินการเข้าถึงคอลเลกชั่นหนังสือพิมพ์เก่าฉบับดิจิทัลของหอสมุดแห่งชาติด้วยวิธีการสืบค้นจากหัวเรื่องและเนื้อหาฉบับเต็ม มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาคอลเลกชั่นหนังสือพิมพ์เก่าฉบับดิจิทัลของหอสมุดแห่งชาติ และประเมินการเข้าถึงคอลเลกชั่นหนังสือพิมพ์เก่าฉบับดิจิทัลของหอสมุดแห่งชาติด้วยการสืบค้นจากหัวเรื่องและเนื้อหาฉบับเต็ม โดยศึกษาจากอัตราเรียกค้น อัตราถูกต้องตรงตามต้องการ และเวลาที่ใช้ในการสืบค้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) คอลเลกชั่นหนังสือพิมพ์เก่าฉบับดิจิทัลของหอสมุดแห่งชาติ 2) แบบกำหนดงานสำหรับการสืบค้นหนังสือพิมพ์เก่าฉบับดิจิทัล และ 3) แบบประเมินความเกี่ยวข้องของผลการสืบค้นสำหรับผู้เชี่ยวชาญ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ ผู้ใช้บริการหอสมุดแห่งชาติ จำนวน 30 คน ซึ่งมีทักษะในการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการสืบค้น รวมถึงสามารถอ่านหนังสือพิมพ์เก่าฉบับดิจิทัลผ่านทางหน้าจอคอมพิวเตอร์ได้ ผลการวิจัยพบว่า การประเมินการเข้าถึงคอลเลกชั่นหนังสือพิมพ์เก่าฉบับดิจิทัลของหอสมุดแห่งชาติด้วยวิธีการสืบค้นด้วยหัวเรื่อง เรื่อง "กบฏในราชอาณาจักรไทย" มีอัตราเรียกค้นคิดเป็นร้อยละ 58.29 และอัตราถูกต้องตรงความต้องการคิดเป็นร้อยละ 65.93 สำหรับวิธีการสืบค้นด้วยเนื้อหาฉบับเต็ม มีอัตราเรียกค้นคิดเป็นร้อยละ 57.72 และอัตราถูกต้องตรงความต้องการคิดเป็นร้อยละ 60.34 สำหรับวิธีการสืบค้นจากหัวเรื่อง เรื่อง "สงครามโลกครั้งที่ 1" มีอัตราเรียกค้นคิดเป็นร้อยละ 59.39 และอัตราถูกต้องตรงความต้องการคิดเป็นร้อยละ 65.80 และวิธีการสืบค้นด้วยเนื้อหาฉบับเต็ม มีอัตราเรียกค้นคิดเป็นร้อยละ 57.98 และอัตราถูกต้องตรงความต้องกาคิดเป็นร้อยละ 60.92 ส่วนระยะเวลาที่ใช้เฉลี่ยในการสืบค้นเรื่อง "กบฏในราชอาณาจักรไทย" ด้วยวิธีการสืบค้นจากหัวเรื่อง 8.43 นาที ส่วนการสืบค้นด้วยเนื้อหาฉบับเต็ม 14.63 นาที สำหรับการสืบค้นเรื่อง "สงครามโลกครั้งที่ 1" ด้วยวิธีการสืบค้นจากหัวเรื่อง 6.50 นาที และการสืบค้นด้วยเนื้อหาฉบับเต็ม 11.32 นาที


พฤติกรรมการอ่านนิยายภาพของนักเรียนโรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฝ่ายประถม, ปภัสรา สามารถ Jan 2017

พฤติกรรมการอ่านนิยายภาพของนักเรียนโรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฝ่ายประถม, ปภัสรา สามารถ

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการอ่านนิยายภาพของนักเรียนโรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฝ่ายประถม ในด้านเหตุผลที่อ่าน วิธีการได้นิยายภาพมาอ่าน ภาษา เนื้อหา ประเภทของนิยายภาพที่อ่าน สถานที่ และเวลาที่อ่าน ใช้วิธีวิจัยเชิงสำรวจ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์กึ่งมีโครงสร้าง กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนโรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฝ่ายประถม ระดับชั้นประถมศึกษาตอนปลาย (ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 - 6) ในปีการศึกษา 2559 ที่อ่านนิยายภาพ โดยใช้การสุ่มแบบโควตา จำนวนรวม 60 คน ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนโรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฝ่ายประถม ส่วนใหญ่อ่านนิยายภาพประเภทนวนิยายวิทยาศาสตร์ เรื่อง สารานุกรมความรู้วิทยาศาสตร์ ชุด Why? มากที่สุด มีเนื้อหาส่วนใหญ่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี นิยายภาพที่อ่านเป็นภาษาไทย อ่านนิยายภาพเพราะมีเนื้อหาน่าสนใจ วิธีการได้นิยายภาพมาอ่าน คือ การซื้อและการยืมจากห้องสมุดโรงเรียน สถานที่อ่าน คือ ที่บ้านและห้องสมุดโรงเรียน เวลาที่อ่านนิยายภาพ คือ ในวันที่เรียนช่วงพักกลางวัน และใช้ระยะเวลาในการอ่าน 6-10 ชั่วโมงต่อสัปดาห์


การศึกษาความสามารถในการเข้าถึงได้ทางเว็บของเว็บไซต์หอสมุดแห่งชาติโดยผู้พิการทางสายตา, อัมพิกา นันทิกาญจนะ Jan 2017

การศึกษาความสามารถในการเข้าถึงได้ทางเว็บของเว็บไซต์หอสมุดแห่งชาติโดยผู้พิการทางสายตา, อัมพิกา นันทิกาญจนะ

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสามารถในการเข้าถึงได้ทางเว็บของเว็บไซต์หอสมุดแห่งชาติโดยผู้พิการทางสายตาในด้านการรับรู้ได้ การใช้งานได้ การเข้าใจได้ และการรองรับเทคโนโลยีที่หลากหลาย วิธีการวิจัยที่ใช้ คือ การประเมินโดยผู้ใช้ ซึ่งเป็นผู้พิการทางสายตา จำนวน 10 คน แบ่งออกเป็น ผู้พิการทางสายตาที่ตาบอดสนิท จำนวน 5 คน และผู้พิการทางสายตาที่ตาเลือนราง จำนวน 5 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยให้ผู้ใช้ทำงานที่ได้รับมอบหมาย จำนวน 6 งาน บนหน้าโฮมเพจของเว็บไซต์หอสมุดแห่งชาติ และคิดออกเสียงในระหว่างที่ทำงาน แล้วสัมภาษณ์ผู้ใช้หลังเสร็จสิ้นการทำงานที่ได้รับมอบหมาย ผลการวิจัยที่สำคัญ มีดังนี้ 1) ผู้พิการทางสายตาส่วนใหญ่ทำงานสำเร็จ จำนวน 3 งาน และไม่สำเร็จ จำนวน 3 งานเท่ากัน โดยงานที่ผู้พิการทางสายตาจำนวนมากที่สุดทำสำเร็จ คือ เข้าไปที่หน้าเว็บห้องสมุดดิจิทัล D-Library (งานที่ 5) ส่วนงานที่ผู้พิการทางสายตาทุกคนทำไม่สำเร็จ คือ สอบถามบรรณารักษ์จากหน้าเว็บไซต์ เช่น ปัญหาที่เกิดจากการใช้งานเว็บไซต์ เป็นต้น (งานที่ 6) 2) งานที่ผู้พิการทางสายตาที่ทำงานสำเร็จใช้เวลามากที่สุด คือ เข้าไปที่หน้าเว็บห้องสมุดดิจิทัล D-Library (งานที่ 5) 3) ผู้พิการทางสายตาทุกคนประสบปัญหาเกี่ยวกับความสามารถในการเข้าถึงได้ทางเว็บในงานสอบถามบรรณารักษ์จากหน้าเว็บไซต์ เช่น ปัญหาที่เกิดจากการใช้งานเว็บไซต์ เป็นต้น (งานที่ 6) 4) งานที่ผู้พิการทางสายตาประสบปัญหาจำนวนมากที่สุด คือ สืบค้นหนังสือจากคำสำคัญ "คอมพิวเตอร์" (งานที่ 3) 5) ปัญหาที่ผู้พิการทางสายตาประสบตามแนวทาง WCAG 2.0 จำแนกออกเป็น ปัญหาเกี่ยวกับการรับรู้ได้ จำนวน 11 ครั้ง ปัญหาเกี่ยวกับการใช้งานได้ จำนวน 28 ครั้ง ปัญหาเกี่ยวกับการเข้าใจได้ จำนวน 22 ครั้ง และปัญหาเกี่ยวกับการรองรับเทคโนโลยีที่หลากหลาย จำนวน 1 ครั้ง


ความอยู่ดีมีสุขทางด้านเศรษฐกิจของผู้สูงอายุไทย, จารุวรรณ ศรีภักดี Jan 2017

ความอยู่ดีมีสุขทางด้านเศรษฐกิจของผู้สูงอายุไทย, จารุวรรณ ศรีภักดี

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การศึกษาในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์ความอยู่ดีมีสุขทางเศรษฐกิจ และความเหลื่อมล้ำทางเพศ สถานภาพสมรส และความเป็นปึกแผ่นระหว่างสมาชิกต่างรุ่นในครอบครัวของผู้สูงอายุไทย รวมทั้งศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างเพศ สถานภาพสมรส และความเป็นปึกแผ่นระหว่างสมาชิกต่างรุ่นในครอบครัวกับความอยู่ดีมีสุขทางด้านเศรษฐกิจของผู้สูงอายุไทย กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปที่ตอบแบบสอบถามด้วยตนเองในโครงการสำรวจประชากรสูงอายุในประเทศไทย ปี พ.ศ. 2557 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ จำนวนทั้งสิ้น 26,793 คน โดยใช้การวิเคราะห์ถดถอยโลจิสติคแบบเรียงลำดับ เพื่อวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านต่างๆ กับความอยู่ดีมีสุขทางด้านเศรษฐกิจของผู้สูงอายุไทย ผลการศึกษาพบว่า ผู้สูงอายุไทยมีความอยู่ดีมีสุขทางด้านเศรษฐกิจอยู่ในระดับปานกลาง แต่หากพิจารณาความอยู่ดีมีสุขทางด้านเศรษฐกิจ 4 มิติ พบว่า ผู้สูงอายุไทยมีความอยู่ดีมีสุขทางเศรษฐกิจด้านการดำรงชีพอยู่ในระดับที่สูงมาก มีความอยู่ดีมีสุขทางเศรษฐกิจด้านการทำงานอยู่ในระดับสูง มีความอยู่ดีมีสุขทางเศรษฐกิจด้านรายได้อยู่ในระดับปานกลาง และมีความอยู่ดีมีสุขทางเศรษฐกิจด้านทรัพย์สินและเงินออมอยู่ในระดับต่ำ โดยเมื่อควบคุมอิทธิพลของตัวแปรอิสระแล้ว ผลการศึกษาได้ข้อค้นพบที่สำคัญ คือ ผู้สูงอายุเพศชายมีความอยู่ดีมีสุขทางด้านเศรษฐกิจสูงกว่าผู้สูงอายุเพศหญิง ผู้สูงอายุที่สมรสมีความอยู่ดีมีสุขทางด้านเศรษฐกิจสูงกว่าผู้สูงอายุที่เป็นโสด ผู้สูงอายุที่ได้รับเงินจากบุตรตั้งแต่ 30,000 บาทต่อปีขึ้นไป มีความอยู่ดีมีสุขทางด้านเศรษฐกิจสูงกว่าผู้สูงอายุที่ไม่ได้รับเงินจากบุตร และผู้สูงอายุที่มีการเยี่ยมเยียนและติดต่อกับบุตรมีความอยู่ดีมีสุขทางด้านเศรษฐกิจสูงกว่าผู้สูงอายุที่ไม่เคยเยี่ยมเยียนและติดต่อกับบุตร ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมุ่งเน้นส่งเสริมความเป็นปึกแผ่นของสถาบันครอบครัว เพราะส่วนหนึ่งของการให้การช่วยเหลือเกื้อหนุนซึ่งกันและกันระหว่างผู้สูงอายุกับบุตรมาจากสัมพันธภาพที่ดีและแน่นแฟ้น รวมทั้งส่งเสริมการมีบุตรอย่างมีคุณภาพในคู่สมรสที่มีความพร้อม เพื่อเป็นหลักประกันในอนาคตให้กับผู้สูงอายุไทยว่าอย่างน้อยเมื่อตกอยู่ในภาวะยากลำบากยังมีครอบครัวเป็นหลักให้พึ่งพา


การวิเคราะห์ปัจจัยหลักต่อความต้องการจ้างงานประชากรวัยทำงานวัยปลาย : กรณีศึกษาสถานประกอบการที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, พิมพวรรณ วิเศษศรี Jan 2017

การวิเคราะห์ปัจจัยหลักต่อความต้องการจ้างงานประชากรวัยทำงานวัยปลาย : กรณีศึกษาสถานประกอบการที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, พิมพวรรณ วิเศษศรี

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

เนื่องจากประเทศไทยจะเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอดอีกประมาณ 20 ปีข้างหน้า ความไม่สมดุลในโครงสร้างอายุประชากรอาจส่งผลให้ขาดแคลนประชากรวัยแรงงานได้ การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ลำดับความสำคัญของปัจจัยต่อความต้องการจ้างงานประชากรวัยทำงานวัยปลาย และเพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะของสถานประกอบการ ลักษณะของผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจด้านนโยบายการจ้างแรงงานที่มีอิทธิพลต่อการให้ระดับความสำคัญต่อปัจจัยหลักที่ใช้จ้างงานประชากรวัยทำงานวัยปลาย ประชากรที่ศึกษาเป็นผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจด้านนโยบายการจ้างแรงงาน โดยใช้ข้อมูลรายชื่อบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ณ วันที่ 22 มิถุนายน 2559 กลุ่มตัวอย่าง 614 แห่งและมีการตอบกลับแบบสอบถามจำนวน 136 แห่ง คิดเป็นระดับความเชื่อมั่นที่ 90% ผลการศึกษาพบว่าสถานประกอบการกว่าร้อยละ 70 มีการจ้างงานประชากรวัยทำงานวัยปลายแล้ว และส่วนมากให้ค่าความสำคัญกับปัจจัยต่อความต้องการจ้างงานประชากรวัยทำงานวัยปลายจากสูงที่สุดไปต่ำที่สุด คือ ด้านประสบการณ์และความชำนาญในการทำงาน ด้านภาระรับผิดชอบงาน ด้านความพร้อมของสภาพร่างกาย ด้านความสามารถของนายจ้างในการจ่ายค่าตอบแทน ด้านประสบการณ์จากการฝึกอบรมและความรู้ในงาน ด้านความพร้อมในการทำงานเต็มเวลา ด้านความสามารถการใช้คอมพิวเตอร์ ด้านการศึกษา และด้านเพศ หากแต่สถานประกอบการบางลักษณะ อาทิ กลุ่มธุรกิจผู้ผลิตและจำหน่ายกลับให้ค่าความสำคัญสูงสุดในปัจจัยด้านภาระรับผิดชอบงาน สถานประกอบการที่มีจำนวนพนักงานระหว่าง 50-200 คนให้ค่าความสำคัญในปัจจัยความสามารถด้านการใช้คอมพิวเตอร์แทนปัจจัยด้านความพร้อมของสภาพร่างกาย นอกจากนี้หากพิจารณาองค์ประกอบของสถานประกอบการโดยวิธีถดถอยโลจิสติกพหุกลุ่มพบว่า ลักษณะของสถานประกอบการ ที่ประกอบด้วย กลุ่มธุรกิจ (ผู้ผลิต ผู้ผลิตและจำหน่าย บริการ) ทุนจดทะเบียน สถานการณ์การจ้างประชากรวัยทำงานวัยปลายในปัจจุบัน และตำแหน่งของผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจจ้างแรงงาน มีอิทธิพลต่อการพิจารณาจ้างงานในปัจจัยหลัก 4 ด้านคือ ด้านประสบการณ์และความชำนาญในการทำงาน ด้านภาระรับผิดชอบงาน ด้านสภาพร่างกาย และด้านประสบการณ์การฝึกอบรมและความรู้ในงานอย่างมีระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.1


ความเป็นปึกแผ่นระหว่างประชากรต่างรุ่นในครอบครัวชาติพันธุ์ชาวไทยภูเขาในเขตภาคเหนือ, วสวัตติ์ สุติญญามณี Jan 2017

ความเป็นปึกแผ่นระหว่างประชากรต่างรุ่นในครอบครัวชาติพันธุ์ชาวไทยภูเขาในเขตภาคเหนือ, วสวัตติ์ สุติญญามณี

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ของการศึกษาคือ 1) เพื่อศึกษาความเป็นปึกแผ่นของประชากรต่างรุ่นในครอบครัวของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวไทยภูเขาในเขตภาคเหนือรวมถึง 2) เพื่อศึกษาถึงปัจจัยที่มีผลต่อความเป็นปึกแผ่นของประชากรต่างรุ่นในครอบครัวของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวไทยภูเขาในเขตภาคเหนือ และ 3)เพื่อศึกษารูปแบบโครงสร้างและความสัมพันธ์ในครอบครัวในอนาคตของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวไทยภูเขาในเขตภาคเหนือ โดยอาศัยการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ในส่วนของการวิจัยเชิงปริมาณนั้นเริ่มจากการวิจัยเอกสาร นำไปสู่การวิจัยเชิงสำรวจ และการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยเก็บข้อมูลตั้งแต่เดือนธันวาคม 2558 - มิถุนายน 2559 โดยได้กลุ่มตัวอย่างจากการเก็บแบบสอบถามที่เป็นวัยแรงงาน ในครัวเรือนกลุ่มชาติพันธุ์ชาวไทยภูเขาเผ่ากะเหรี่ยง ม้ง ล่าหู่ และ อาข่า ในเขตจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน และน่าน ทั้งสิ้นจำนวน 1,285 คนที่เป็นตัวแทนครัวเรือน และกลุ่มตัวอย่างจากการวิจัยเชิงคุณภาพโดยใช้แบบสัมภาษณ์เชิงลึกจำนวน 50 คนที่มีสถานภาพโสดที่อยู่ในวัยแรงงานช่วงอายุ18-25 ปี ส่วนการวิเคราะห์ข้อมูลใช้การวิเคราะห์หลายตัวแปร (Multivariate Analysis) ผสมผสานกับข้อค้นพบที่ได้จากการวิจัยเชิงคุณภาพ ผลการศึกษาแบ่งออกเป็น 5 ส่วนสำคัญดังนี้ 1) ระดับความเป็นปึกแผ่นระหว่างประชากรต่างรุ่นในครอบครัวกลุ่มชาติพันธุ์ชาวไทยภูเขาในเขตภาคเหนือ จากมิติของความเป็นปึกแผ่นใน 4 มิติ คือ ความเป็นปึกแผ่นเชิงหน้าที่ ความเป็นปึกแผ่นเชิงความรู้สึก มิติความเป็นปึกแผ่นเชิงบรรทัดฐาน และความเป็นปึกแผ่นเชิงปฏิสัมพันธ์ร่วม พบว่า กลุ่มชาติพันธุ์ชาวไทยภูเขาเผ่าประชากรต่างรุ่นในครอบครัวกลุ่มชาติพันธุ์ชาวไทยภูเขาในเขตภาคเหนือโดยรวมมีระดับความเป็นปึกแผ่นมาก โดยกลุ่มชาติพันธุ์ม้งมีระดับสูงที่สุด รองลงมาคือกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง ล่าหู่ และอาข่า 2) เมื่อใช้วิธีการวิเคราะห์ด้วยวิธีการถดถอยพหุคูณโลจิสติกเพื่อหาปัจจัยที่ส่งผลต่อระดับความเป็นปึกแผ่นระหว่างประชากรต่างรุ่นในครอบครัวกลุ่มชาติพันธุ์ชาวไทยภูเขาในเขตภาคเหนือ พบว่าปัจจัยทางด้านทุนทางสังคม ในส่วนของ จำนวนบุตรในครอบครัว จำนวนสมาชิกในครอบครัว และลักษณะรูปแบบโครงสร้างครอบครัว ปัจจัยทางด้านความเป็นชาติพันธุ์ที่แตกต่างกัน ปัจจัยทางด้านทุนทางเศรษฐกิจ อันได้แก่ รายได้ครัวเรือนเฉลี่ยต่อปี และสถานภาพการทำงาน มีผลต่อระดับความเป็นปึกแผ่นระหว่างประชากรต่างรุ่นในครอบครัวกลุ่มชาติพันธุ์ชาวไทยภูเขาในเขตภาคเหนือโดยรวม และในแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์ 3) แนวโน้มโครงสร้างครอบครัวในด้านจำนวนบุตรของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวไทยภูเขาในเขตภาคเหนือจากอดีตสู่อนาคต พบว่ามีแนวโน้มที่ลดลง 4) เมื่อใช้วิธีสมการถดถอยปัวซอง (Poisson Regression Analysis) เพื่อหาปัจจัยที่มีผลต่อจำนวนบุตรในปัจจุบันและความต้องการจำนวนบุตรที่จะมีในอนาคตในครอบครัว พบว่า ปัจจัยทางด้านความเป็นชาติพันธุ์ที่แตกต่างกัน ปัจจัยทางด้านทุนทางสังคม ในส่วนของ ลักษณะรูปแบบโครงสร้างครอบครัว ปัจจัยทางด้านมิติความสัมพันธ์ระหว่างประชากรต่างรุ่นในครอบครัว ปัจจัยทางด้านทุนมนุษย์ในส่วนของระดับการศึกษา มีผลต่อจำนวนบุตรในปัจจุบันและความต้องการจำนวนบุตรที่จะมีในอนาคตในครอบครัวของกลุ่มาติพันธุ์ชาวไทยภูเขาในเขตภาคเหนือโดยรวม และในแต่ละกลุ่มชาตพันธุ์ จากนั้นผู้วิจัยจึงได้ศึกษาเชิงคุณภาพถึงสาเหตุของการมีบุตรที่ลดลงจากเดิม อันเนื่องจากแนวคิดที่ว่าหากมีบุตรจำนวนมากจะเป็นภาระในการเลี้ยงดู แต่หากอยู่ในครอบครัวที่มีสมาชิกหลายรุ่นเป็นครอบครัวขยายก็จะมีความคิดที่จะมีความต้องการบุตรที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากสามารถแบ่งเบาในการเลี้ยงดูดูแลบุตร 5) ภาพอนาคตรูปแบบโครงสร้างและความสัมพันธ์ในครอบครัวของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวไทยภูเขาในเขตภาคเหนือ โดยใช้วิธีการศึกษาทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ พบว่าภาพอนาคตของครอบครัวกลุ่มชาติพันธุ์ชาวไทยภูเขาในเขตภาคเหนือสอดคล้องกันทุกกลุ่มชาติพันธุ์ตั้งแต่ ปัจจัยด้านทุนทางสังคมที่ให้ความสำคัญกับการสมรสการสร้างครอบครัวซึ่งยังคงยึดถือปฏิบัติเป็นจารีตประเพณีที่สำคัญ รวมทั้งความต้องการในการอยู่ร่วมกันหลายรุ่นในครอบครัว ในส่วนปัจจัยความสัมพันธ์และความเป็นปึกแผ่นระหว่างประชากรต่างรุ่นในครอบครัวในอนาคตจะมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของการปฏิสัมพันธ์ลดลง แต่ยังคงมีความเชื่อเรื่องกตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดาที่ยังเหนียวแน่นจากรุ่นสู่รุ่น ส่วนในด้านของปัจจัยทุนมนุษย์ในอนาคตจะมีการย้ายถิ่นมากขึ้นเนื่องจากมีความต้องการในการทำงานที่มีความมั่นคงทางรายได้ …


ความสัมพันธ์ระหว่างระบบความหมายของกลุ่มคำกริยา “ตัด” กับระบบปริชานของผู้พูดภาษาอังกฤษและผู้พูดภาษากะเหรี่ยงสะกอเหนือ: การทดสอบสมมติฐานภาษาสัมพัทธ์, ฉัตรชนก จันทร์แย้ม Jan 2017

ความสัมพันธ์ระหว่างระบบความหมายของกลุ่มคำกริยา “ตัด” กับระบบปริชานของผู้พูดภาษาอังกฤษและผู้พูดภาษากะเหรี่ยงสะกอเหนือ: การทดสอบสมมติฐานภาษาสัมพัทธ์, ฉัตรชนก จันทร์แย้ม

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

งานวิจัยนี้มุ่งทดสอบสมมติฐานภาษาสัมพัทธ์ ซึ่งมีใจความหลักว่า ภาษาที่แตกต่างกันทำให้ความคิดของผู้ใช้ภาษาแตกต่างกันด้วย มีงานวิจัยจำนวนมากทดสอบสมมติฐานภาษาสัมพัทธ์กับภาษาที่มีประเภททางไวยากรณ์แตกต่างกัน แต่งานวิจัยที่เน้นความแตกต่างทางความหมายของกลุ่มคำกริยาในภาษาที่ต่างกันยังพบน้อยมาก งานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบระบบความหมายของกลุ่มคำกริยา "ตัด" ในภาษาอังกฤษกับภาษากะเหรี่ยงสะกอเหนือและทดสอบพฤติกรรมทางปริชานของผู้พูดทั้งสองภาษา เพื่อสรุปความสัมพันธ์ระหว่างภาษากับปริชานของผู้พูด ผู้วิจัยวิเคราะห์ข้อมูลภาษาและพบว่าระบบความหมายของกลุ่มคำกริยา "ตัด" ในภาษากะเหรี่ยงสะกอเหนือจำแนกกลุ่มคำกริยา "ตัด" ตามเครื่องมือที่ใช้ตัดและการลงน้ำหนักขณะตัด ส่วนระบบความหมายของกลุ่มคำกริยา "ตัด" ในภาษาอังกฤษไม่ได้จำแนกในลักษณะนี้ ผู้วิจัยตั้งสมมติฐานว่า ผู้พูดภาษากะเหรี่ยงสะกอเหนือมีพฤติกรรมความใส่ใจและการจำแนกประเภทตามการลงน้ำหนักและเครื่องมือมากกว่าผู้ถูกทดลองที่พูดภาษาอังกฤษ ผู้วิจัยทดสอบพฤติกรรมทางปริชานด้านการจำแนกประเภทและความใส่ใจตามเกณฑ์เครื่องมือที่ใช้ตัดและการลงน้ำหนักขณะตัด โดยทดสอบกับกลุ่มผู้พูดภาษาอังกฤษ 30 คนและกลุ่มผู้พูดภาษากะเหรี่ยงสะกอเหนือ 30 คน ผลการทดสอบส่วนใหญ่สอดคล้องกับสมมติฐาน คือผู้ถูกทดลองที่พูดภาษากะเหรี่ยงสะกอเหนือจำแนกประเภทตามเกณฑ์เครื่องมือที่ใช้ตัดและการลงน้ำหนักมากกว่าผู้ถูกทดลองที่พูดภาษาอังกฤษอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนความใส่ใจพบว่า ผู้ถูกทดลองที่พูดภาษากะเหรี่ยงสะกอเหนือใส่ใจตามเกณฑ์การลงน้ำหนักมากกว่าผู้ถูกทดลองที่พูดภาษาอังกฤษอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเช่นกัน แต่ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติสำหรับการทดสอบความใส่ใจตามเกณฑ์เครื่องมือที่ใช้ตัด อย่างไรก็ตาม อาจสรุปได้ว่า ภาษาที่มีระบบไวยากรณ์ต่างกันส่งผลให้ระบบปริชานของผู้ใช้ภาษาต่างกันซึ่งสนับสนุนสมมติฐานภาษาสัมพัทธ์


การศึกษาลักษณ์ทางภาษา และรูปแบบของคำให้การจริงและคำให้การเท็จในภาษาไทย, ภัทณิดา โสดาบัน Jan 2017

การศึกษาลักษณ์ทางภาษา และรูปแบบของคำให้การจริงและคำให้การเท็จในภาษาไทย, ภัทณิดา โสดาบัน

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ที่จะระบุลักษณ์ทางภาษาในระดับคำ รวมทั้งศึกษาความแตกต่างของรูปแบบและลักษณะเฉพาะทางปริจเฉทของคำให้การจริงและคำให้การเท็จ เพื่อนำไปสู่การใช้เป็นจุดพึงสังเกตในการจำแนกคำให้การจริงและคำให้การเท็จ โดยใช้วิธีการเปรียบเทียบคำให้การจากผู้บอกภาษาทั้งหมด 60 คน ซึ่งผู้บอกภาษาแต่ละคนจะได้ให้การทั้งจริงและเท็จหลังจากชมภาพยนตร์ขนาดสั้นในห้องปฏิบัติการทางภาษา โดยมีสมมติฐานว่า ลักษณะภาษาระหว่างคำให้การจริงและคำให้การเท็จทั้งในระดับคำและระดับปริจเฉทจะมีความแตกต่างกัน การศึกษาวิเคราะห์ในระดับคำ จะใช้การทดสอบค่าทีเพื่อยืนยันความต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติของการใช้คำแต่ละประเภทระหว่างคำให้การจริงและคำให้การเท็จ โดยพิสูจน์จากการเปรียบเทียบความถี่การใช้ของคำในประเภทต่างๆที่แบ่งไว้เป็นประเภททางไวยากรณ์ และประเภททางจิตวิทยา ซึ่งผลการศึกษาพบประเภทของคำที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ p< 0.05 ดังต่อไปนี้ ประเภททางไวยากรณ์ของคำได้แก่ ประเภทคำกริยา คำคุณศัพท์ คำบุพบท คำสันธาน คำอนุภาค คำสรรพนาม คำปริมาณ การซ้ำ และประเภทประเภททางจิตวิทยา ได้แก่ คำแสดงสภาวะทางอารมณ์ คำแสดงอารมณ์เชิงลบ คำแสดงอารมณ์เชิงบวก คำแสดงการรับรู้ทางประสาทสัมผัสต่างๆ คำแสดงการหยั่งรู้ที่สะท้อนทัศนคติของผู้พูด คำแสดงการห้าม คำเชื่อมสัมพันธสาร คำแสดงความลังเลไม่มั่นใจ และคำแสดงความคลาดเคลื่อน ส่วนผลการศึกษาในระดับปริจเฉทได้มาจากการพิจารณาความต่างระหว่างคำให้การจริงและเท็จผ่านการประเมินความสามารถทางการใช้ภาษาในการเล่าเรื่อง โดยพบว่าคะแนนเฉลี่ยระหว่างคำให้การจริงและคำให้การเท็จมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ p<0.05 และคำให้การเท็จได้คะแนนสูงกว่าคำให้การจริง ซึ่งบ่งชี้ว่า ขณะให้การเท็จ ผู้พูดได้ใช้ความสามารถทางภาษาในการเล่าเรื่องมากกว่าขณะที่ให้การจริง ทำให้คำให้การเท็จมีความสมบูรณ์ในฐานะเรื่องเล่าสูงกว่าคำให้การจริง ดังนั้นแล้ว จากผลการศึกษาครั้งนี้จึงมีความเป็นไปได้ที่จะนำประเภทของคำและรูปแบบที่แตกต่างกันระหว่างคำให้การจริงและคำให้การเท็จในฐานะลักษณ์ทางภาษาพึงสังเกตไปใช้ประกอบการพิจารณาความจริงเท็จของคำให้การใดๆได้ต่อไป


ปรากฏการณ์การรับรู้เสียงสระแทรกในพยัญชนะควบกล้ำของผู้พูดภาษาไทยเป็นภาษาแม่, รัตนสุวรรณ ระวรรณ Jan 2017

ปรากฏการณ์การรับรู้เสียงสระแทรกในพยัญชนะควบกล้ำของผู้พูดภาษาไทยเป็นภาษาแม่, รัตนสุวรรณ ระวรรณ

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

วิทยานิพนธ์นี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาอิทธิพลของสัทสัมผัส หลักการการเรียงพลังประจำเสียง และลักษณะทางสัทสาสตร์ของภาษาแม่ ต่อการรับรู้เสียงควบกล้ำในผู้พูดภาษาไทยเป็นภาษาแม่ ผู้ร่วมการทดลองเป็นผู้พูดภาษาไทยเป็นภาษาแม่จำนวน 64 คน และผู้พูดภาษารัสเซียเป็นภาษาแม่จำนวน 15 คน รายการคำในการทดลองเป็นคำเสมือนของภาษารัสเซียในโครงสร้างพยางค์ CCVC และ CVCVC และผู้วิจัยใช้แบบทดสอบการจำแนกเสียงแบบ AX ในการทดลอง ผู้วิจัยคาดว่าเมื่อผู้ร่วมการทดลองได้ยินเสียงควบกล้ำต่างๆ ในการทดลองที่ผิดสัทสัมผัสของภาษาแม่ ผู้ร่วมการทดลองจะได้ยินเสียงสระแทรกเสียงพยัญชนะควบกล้ำ ทำให้ไม่สามารถแยกแยะเสียงควบกล้ำและเสียงสระแทรกออกจากกันได้ จากผลการทดลอง ผู้วิจัยพบว่าสัทสัมผัสของภาษาแม่มีอิทธิพลต่อการรับรู้เสียงควบกล้ำ โดยผู้ร่วมการทดลองสามารถรับรู้เสียงควบกล้ำที่ถูกสัทสัมผัสได้อย่างแม่นยำกว่าเสียงควบกล้ำที่ผิดสัทสัมผัสอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม ในการทดลองที่สอง ผู้วิจัยพบว่าหลักการการเรียงพลังประจำเสียงไม่ใช่ปัจจัยที่ทำให้การรับรู้เสียงควบกล้ำในผู้พูดภาษาไทยเป็นภาษาแม่แม่นยำ กล่าวคือ ผู้พูดภาษาไทยเป็นภาษาแม่สามารถรับรู้เสียงควบกล้ำที่เรียงพลังประจำเสียงแบบขึ้นได้ไม่แตกต่างจากระดับและแบบตกอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ผู้วิจัยยังพบจากผลการทดลองที่สามว่าลักษณะทางสัทศาสตร์ของภาษาแม่ในคู่คำทดสอบดัดแปลงทำให้ผู้พูดภาษาไทยเป็นภาษาแม่รับรู้เสียงควบกล้ำที่ผิดสัทสัมผัสด้วยความแม่นยำที่ลดลง อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้วิจัยเปลี่ยนไปใช้เสียงทดสอบที่ผลิตอย่างธรรมชาติโดยผู้พูดภาษาไทยเป็นภาษาแม่ในการทดลองที่สี่ ผู้วิจัยพบว่าผู้ร่วมการทดลองที่พูดภาษาไทยเป็นภาษาแม่สามารถรับรู้เสียงในคู่คำทดสอบได้อย่างแม่นยำขึ้นกว่าเมื่อได้ยินเสียงในคู่คำทดสอบที่ผลิตโดยผู้พูดภาษารัสเซียเป็นภาษาแม่


การสร้างคลังศัพท์บอกความรู้สึกในภาษาไทยจากบทวิจารณ์ออนไลน์, อิสรภาพ ล้อรัตนไชยยงค์ Jan 2017

การสร้างคลังศัพท์บอกความรู้สึกในภาษาไทยจากบทวิจารณ์ออนไลน์, อิสรภาพ ล้อรัตนไชยยงค์

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

งานวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างคลังศัพท์บอกความรู้สึกจากบทวิจารณ์สินค้าและบริการออนไลน์ในภาษาไทยโดยใช้วิธีการประมวลภาษาธรรมชาติตามแนวทางการวิจัยด้านภาษาศาสตร์คอมพิวเตอร์ บทวิจารณ์ที่เลือกใช้มาจาก 3 แหล่งข้อมูล ได้แก่ บทวิจารณ์โรงแรมของ Agoda บทวิจารณ์ภาพยนตร์ของ MajorCineplex และบทวิจารณ์แอปพลิเคชันโทรศัพท์มือถือของ Microsoft ซึ่งมีการให้คะแนนร่วมกับการเขียนเนื้อหาบทวิจารณ์ การวิเคราะห์หาคำบอกความรู้สึกจากเนื้อหาบทวิจารณ์อาศัยสมมติฐานว่าคำบอกความรู้สึกจะเกิดร่วมกับคำบอกลักษณะสินค้าซึ่งเป็นคำในกลุ่มคำนามที่มีความถี่การปรากฏสูง การระบุขั้วความรู้สึกบวกลบของคำบอกความรู้สึกจะดูจากค่า tf-idf เชิงบวกและเชิงลบซึ่งคำนวณจากความถี่การปรากฏในกลุ่มข้อมูลบทวิจารณ์ที่มีการให้คะแนนเชิงบวกและเชิงลบตามลำดับ กระบวนการรวบรวมคำบอกความรู้สึกในงานวิจัยนี้ทดลองใช้วิธีการต่างๆ ในสามขั้นตอน คือ การกำหนดชนิดคำบอกความรู้สึก การกำหนดค่าขั้นต่ำของลำดับความถี่ของคำบอกลักษณะสินค้า และการกำหนดค่า tf-idf ขั้นต่ำในการคัดเลือกคำบอกความรู้สึกขั้วบวกและขั้วลบ ผลที่ได้คือชุดคำบอกความรู้สึกที่แตกต่างกัน 112 ชุดจากแต่ละโดเมน จากนั้นชุดคำทั้งหมดจะนำไปทดสอบผลการวิเคราะห์ความรู้สึกเพื่อคัดเลือกชุดคำที่ดีที่สุดสำหรับการสร้างคลังศัพท์ ชุดคำบอกความรู้สึกที่ให้ผลการวิเคราะห์ดีที่สุดมาจากการใช้คำในกลุ่มคำกริยา คำคุณศัพท์ และคำวิเศษณ์เป็นคำบอกความรู้สึก เลือกใช้คำบอกลักษณะที่มีลำดับเปอร์เซ็นต์ไทล์ของความถี่ตั้งแต่ 90 ขึ้นไป และคัดเลือกคำบอกความรู้สึกที่มีผลรวมของค่า tf-idf เชิงบวกและลบมากกว่าหรือเท่ากับ 0 หลังจากนั้นคำบอกความรู้สึกในคลังศัพท์ที่ได้จากแต่ละโดเมนจะนำมาจำแนกประเภทเป็นคำบอกความรู้สึกแบบเจาะจงโดเมนและแบบไม่เจาะจงโดเมน รายการคำที่ได้จะนำมาวิเคราะห์โดยเปรียบเทียบการปรากฏในเนื้อหาบทวิจารณ์โดเมนต่างๆ เพื่อศึกษาความแตกต่างของการเลือกใช้คำบอกความรู้สึกในบทวิจารณ์สินค้าของแต่ละโดเมน ผลการวิเคราะห์พบว่าการใช้คำบอกความรู้สึกของผู้เขียนบทวิจารณ์จะเปลี่ยนไปตามความคาดหวังของผู้ใช้สินค้าหรือบริการและสไตล์การเขียนบทวิจารณ์ในโดเมนนั้นๆ นอกจากนี้การวิเคราะห์ข้อมูลบทวิจารณ์ยังแสดงให้เห็นถึงปัจจัยสำคัญต่างๆ ที่ส่งผลต่อรายการคำบอกความรู้สึกในคลังศัพท์ที่ได้จากงานวิจัยนี้ ซึ่งอาจนำไปใช้ปรับปรุงวิธีการสร้างคลังศัพท์ให้ดีขึ้นได้ ประกอบด้วย การปรากฏของคำบอกลักษณะสินค้า ช่วงคะแนนของบทวิจารณ์เชิงบวกและเชิงลบ แรงจูงใจในการเขียนบทวิจารณ์ และการเลือกใช้สินค้าหรือบริการในโดเมนต่างๆ


การพัฒนาแบบจำลองเพื่อประเมินปริมาณการชะล้างตะกอนบริเวณลุ่มน้ำแม่สรวย (ตอนบน) จังหวัดเชียงราย, กัมปนาท ศิริเรือง Jan 2017

การพัฒนาแบบจำลองเพื่อประเมินปริมาณการชะล้างตะกอนบริเวณลุ่มน้ำแม่สรวย (ตอนบน) จังหวัดเชียงราย, กัมปนาท ศิริเรือง

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์เพื่อคาดการณ์ปริมาณการชะล้างพังทลายของหน้าดินในลุ่มน้ำแม่สรวยตอนบน จังหวัดเชียงราย ผู้วิจัยสร้างแบบจำลองโดยยึดแนวทางจากแบบจำลอง Daily Base- Morgan-Morgan Finney (DMMF) ในการอธิบายลักษณะของปริมาณน้ำท่า และแบบจำลอง Revised Morgan-Morgan Finney (RMMF) ในการจำลองปริมาณการชะล้างของตะกอน แบบจำลองสร้างขึ้นด้วยโปรแกรม PCRaster ซึ่งสามารถประมวลผลข้อมูลเชิงพลวัติ ในรูปแบบราสเตอร์ ผู้วิจัยใช้ข้อมูลปริมาณน้ำไหลในลำน้ำและปริมาณตะกอนแขวนลอยที่จุดออกของลุ่มน้ำในการปรับเทียบค่าพารามิเตอร์ที่เหมาะสมและประเมินประสิทธิภาพของแบบจำลองในการคาดการณ์ด้วยดัชนี Nash-Sutcliffe Efficiency (NSE) ผลการศึกษาพบว่าแบบจำลองมีความถูกต้องในการคาดการณ์ปริมาณน้ำท่าในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ด้วยค่า NSE เท่ากับ 0.37 และ 0.46 ในปี 2558 และ 2559 ตามลำดับ และคาดการณ์ปริมาณตะกอนมีความถูกต้องในระดับต่ำ (ค่า NSE เท่ากับ 0.12 และ 0.26 ในปี 2558 และ 2559 ตามลำดับ) แบบจำลองมีประสิทธิภาพในการคาดการณ์สูงในกรณีที่มีน้ำท่าและตะกอนในลำน้ำในปริมาณที่ไม่มากนัก หากเป็นช่วงที่มีน้ำท่าและปริมาณตะกอนเกิดขึ้นจำนวนมาก แบบจำลองคาดการณ์ปริมาณน้ำท่าและตะกอนต่ำกว่าความเป็นจริงมาก การคาดการณ์ปริมาณตะกอนในลำน้ำมีความผิดพลาดมากกว่าปริมาณน้ำท่า การวิเคราะห์รูปแบบทางพื้นที่และความรุนแรงของการชะล้างตะกอน พบว่าพื้นที่ส่วนใหญ่มีความรุนแรงจากการชะล้างตะกอนในระดับต่ำ (0-2 ตัน/ไร่/ฤดูฝน) เนื่องจากพื้นที่ศึกษาส่วนเป็นพื้นที่ป่าผลัดใบ มีการเกิดน้ำไหลบ่าหน้าดินไม่มากนักจึงทำให้เกิดการชะล้างหน้าดินในปริมาณไม่มากนัก ในขณะที่พื้นที่เพาะปลูกพืชไร่และไร่หมุนเวียน มีความรุนแรงของการชะล้างตะกอนในระดับสูง (มากกว่า 20 ตัน/ไร่/ฤดูฝน) นอกจากนี้ผู้วิจัยยังพบว่าในบริเวณที่มีลักษณะเป็นพื้นที่รับน้ำขนาดใหญ่และมีความลาดชันสูง หรือเป็นพื้นที่ที่มีดัชนีกำลังไหลลำธาร (stream power index) สูง จะทำให้มีการชะล้างของตะกอนหน้าดินจากการกระทำของน้ำไหลบ่าหน้าดินในปริมาณมาก