Open Access. Powered by Scholars. Published by Universities.®

Social and Behavioral Sciences Commons

Open Access. Powered by Scholars. Published by Universities.®

Chulalongkorn University

Discipline
Keyword
Publication Year
Publication
Publication Type

Articles 481 - 510 of 5570

Full-Text Articles in Social and Behavioral Sciences

การนำนโยบายป้องกันและปราบปรามการละเมิดเครื่องหมายการค้าไปปฏิบัติของภาครัฐไทย (พ.ศ. 2562 - 2566), ปิยะพล ภูดี Jan 2023

การนำนโยบายป้องกันและปราบปรามการละเมิดเครื่องหมายการค้าไปปฏิบัติของภาครัฐไทย (พ.ศ. 2562 - 2566), ปิยะพล ภูดี

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

งานวิจัยชิ้นนี้มุ่งตอบคำถามเกี่ยวกับสาเหตุที่การนำนโยบายป้องกันและปราบปรามการละเมิดเครื่องหมายการค้าไปปฏิบัติของภาครัฐไทย ระหว่างปี พ.ศ. 2562 – 2566 จึงยังไม่สามารถบรรลุผลได้ รวมถึงเพื่อนำผลการศึกษาที่ได้มาจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายให้การนำนโยบายดังกล่าวไปปฏิบัติเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยวิเคราะห์เชื่อมโยงกับปัจจัยในการนำนโยบายไปปฏิบัติตามทฤษฎีของ Van Meter และ Van Horn เพื่อสะท้อนปัญหาที่เกิดขึ้นจากกระบวนการดำเนินนโยบายดังกล่าว งานวิจัยชิ้นนี้อาศัยระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ โดยเน้นเก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึกกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียในการดำเนินนโยบาย ทั้งหน่วยงานภาครัฐและผู้ได้รับผลกระทบจากนโยบาย รวมถึงการศึกษาวิเคราะห์จากเอกสารทุติยภูมิ ทั้งนี้ ผลการศึกษาพบว่า สาเหตุที่การนำนโยบายป้องกันและปราบปรามการละเมิดเครื่องหมายการค้าไปปฏิบัติของภาครัฐไทย ระหว่างปี พ.ศ. 2562 – 2566 จึงยังไม่สามารถบรรลุผลได้ มีอยู่ 3 ปัจจัย ได้แก่ 1) สภาพตลาดสินค้าละเมิดเครื่องหมายการค้าในปัจจุบัน เช่น รูปแบบการจำหน่ายสินค้าละเมิดถูกนำมาจำหน่ายในช่องทางออนไลน์มากขึ้นทำให้การบังคับใช้กฎหมายในการปราบปรามยากต่อควบคุม 2) ปัญหาจากกระบวนการนำนโยบายไปปฏิบัติของภาครัฐ เช่น งบประมาณและบุคลากรที่มีอยู่อย่างจำกัด ความไม่คล่องตัวของระบบราชการไทย 3) อิทธิพลของการเมืองในประเทศและระหว่างไทย-สหรัฐอเมริกา เช่น ระดับการให้ความสำคัญในการปราบปรามของตัวแสดงทางการเมืองภายในประเทศแต่ละช่วงเวลาที่ไม่เท่ากันส่งผลให้เกิดความไม่ต่อเนื่องในการดำเนินนโยบาย รวมถึงการเมืองระหว่างไทย-สหรัฐอเมริกา ที่มีผลโยชน์ทางการค้าระหว่างกันเข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะให้ภาครัฐควรมุ่งเน้นการบังคับใช้กฎหมายในการปิดกั้นช่องทางการจำหน่ายสินค้าละเมิดเครื่องหมายการค้าในช่องทางออนไลน์อย่างจริงจังและต่อเนื่อง รวมถึงจัดสรรงบประมาณและจำนวนบุคลากรให้มีความเหมาะสม ปรับปรุงระเบียบขั้นตอนการปฏิบัติงานให้มีความคล่องตัวและเหมาะสมกับรูปแบบการละเมิดในปัจจุบัน สร้างระบบทรัพย์สินทางปัญญาไทยให้เป็นมาตรฐานสากล รวมถึงเพิ่มความเข้มข้นในการสร้างความตระหนักรู้ให้กับผู้ประกอบการไทยให้เห็นถึงความสำคัญของการปกป้องคุ้มครองเครื่องหมายการค้า


การศึกษาปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของนายทหารตรวจสอบภายใน สำนักงานตรวจสอบภายในทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย, ปิยาภา สัมฤทธิ์เปี่ยม Jan 2023

การศึกษาปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของนายทหารตรวจสอบภายใน สำนักงานตรวจสอบภายในทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย, ปิยาภา สัมฤทธิ์เปี่ยม

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

สำนักงานตรวจสอบภายในทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย เป็นหน่วยงานที่ดำเนินการตรวจสอบภายในโดยอิสระ เพื่อประเมินค่าประสิทธิผลในการควบคุม การบริหารทรัพยากร และระบบการกำกับดูแลกิจการที่ดี เพื่อสร้างความมั่นใจอย่างสมเหตุสมผลว่าระบบต่าง ๆ สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการเสนอแนะแนวทางหรือมาตรการกรือวิธีการเพื่อปรับปรุงการปฏิบัติงานต่าง ๆ ให้สามารถบรรลุผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายของกองบัญชาการกองทัพไทยอย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล การศึกษาปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของนายทหารตรวจสอบภายใน สำนักงานตรวจสอบภายในทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยด้านทักษะของผู้ตรวจสอบภายใน ปัจจัยด้านความเป็นอิสระของผู้ตรวจสอบภายใน และปัจจัยการติดตามและการประเมินผล ที่มีผลกระทบต่อการตรวจสอบภายในของนายทหารตรวจสอบภายใน สำนักงานตรวจสอบภายในทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย การทำสารนิพนธ์นี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ผสมผสานกัน โดยทำการทบทวนแนวคิดทฤษฎี และทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องร่วมกับการสัมภาษณ์เชิงลึก เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการศึกษา ผลการวิจัย พบว่าพบว่า ปัจจัยระดับองค์กร ประกอบด้วย ด้านทักษะของผู้ตรวจสอบภายใน (IAF) ด้านความเป็นอิสระของผู้ตรวจสอบภายใน (IA) และด้านการติดตามและประเมินผล (ME) กับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน ประกอบด้วย ด้านคุณภาพ ด้านปริมาณงาน ด้านเวลา และด้านค่าใช้จ่ายหรือความคุ้มค่าของทรัพยากร ของนายทหารตรวจสอบภายใน สำนักงานตรวจสอบภายในทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย มีความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของนายทหารตรวจสอบภายใน สำนักงานตรวจสอบภายในทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย


แนวทางการพัฒนาการเตรียมความพร้อมข้าราชการที่จะไปประจำการในต่างประเทศ:กรณีศึกษา สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ, พรนรินทร์ มีกลิ่นหอม Jan 2023

แนวทางการพัฒนาการเตรียมความพร้อมข้าราชการที่จะไปประจำการในต่างประเทศ:กรณีศึกษา สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ, พรนรินทร์ มีกลิ่นหอม

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การศึกษาเรื่องแนวทางการพัฒนาการเตรียมความพร้อมข้าราชการที่จะไปประจำการในต่างประเทศ กรณีศึกษาสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (สคต.) มีวัตถุประสงค์เพื่อค้นหาประสบการณ์และความท้าทายในมิติของประสิทธิภาพการปฏิบัติงานและคุณภาพชีวิตของข้าราชการในการไปประจำการ ณ สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ และวิเคราะห์หลักสูตรการเตรียมความพร้อมก่อนไปประจำการ โดยนำข้อมูลที่ได้รับจากผลการศึกษาที่ได้ข้อมูลจากผู้ไปประจำการซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการสร้างข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาหลักสูตรสำหรับผู้ไปประจำการต่อไป การศึกษาดังกล่าวใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ ผ่านการศึกษาค้นคว้าจากเอกสาร และการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มผู้มีประสบการณ์ในการไปประจำการ และฝ่ายทรัพยากรบุคคลของหน่วยงาน จำนวน 11 ราย ผลการศึกษาแสดงให้เห็นถึงช่องว่างในการปรับตัวของข้าราชการที่ไปประจำการ โดยพบปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความท้าทายในการไปประจำการ ณ สคต. 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ ความหลากหลายของภูมิหลังก่อนรับตำแหน่ง ความไม่คุ้นเคยในเนื้องานในต่างประเทศ และการปรับตัวเข้ากับภารกิจและสภาพแวดล้อมการทำงานที่ใหม่ ในส่วนของความคิดเห็นเกี่ยวกับหลักสูตรการเตรียมความพร้อมข้าราชการที่จะไปประจำการในต่างประเทศ แบ่งออกเป็น 2 ประเด็นหลัก ได้แก่ ความเพียงพอของหลักสูตรการเตรียมความพร้อมฯ และข้อเสนอแนะหัวข้อที่ต้องการให้บรรจุเพิ่มเติมหรือการปรับปรุงรายละเอียดหลักสูตรการเตรียมความพร้อมฯ โดยผลการศึกษาดังกล่าว นำไปสู่ข้อเสนอแนวทางการพัฒนาการเตรียมความพร้อมข้าราชการที่จะไปประจำการในต่างประเทศ ได้แก่ ข้อเสนอเชิงนโยบายในการปรับปรุงหลักสูตรการเตรียมความพร้อมข้าราชการที่จะไปประจำการในสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ และข้อเสนอเชิงนโยบายในการคัดเลือกผู้ไปประจำการ


คุณภาพชีวิตในการทำงานและความผูกพันต่อองค์กรของผู้ปฏิบัติงานฝ่ายบำรุงรักษาเครื่องกล การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย, พรรณอร รัชตมุทธา Jan 2023

คุณภาพชีวิตในการทำงานและความผูกพันต่อองค์กรของผู้ปฏิบัติงานฝ่ายบำรุงรักษาเครื่องกล การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย, พรรณอร รัชตมุทธา

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

งานวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอิทธิพลของปัจจัยส่วนบุคคลและปัจจัยคุณภาพชีวิตในการทำงานที่ส่งผลต่อความผูกพันต่อองค์กรของผู้ปฏิบัติงานฝ่ายบำรุงรักษาเครื่องกล การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นการวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research) ในรูปแบบการวิจัยเชิงปริมาณ(Quantitative Research) โดยการสำรวจความคิดเห็นและใช้การเก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถาม จากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 231 คน ที่มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบโควตา (Quota Sampling) จากผู้ปฏิบัติงานฝ่ายบำรุงรักษาเครื่องกล การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย แล้วจึงดำเนินการสุ่มตัวอย่างตามความสะดวก (Convenient sampling) ให้ครบตามจำนวนที่กำหนด จากนั้นนำมาประมวลผลผ่านโปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ SPSS และใช้การวิเคราะห์สถิติเชิงพรรณนาด้วยวิธีแจกแจงความถี่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน อีกทั้งในกรณีวิเคราะห์สถิติเชิงอนุมาน ได้เลือกใช้เทคนิคการทดสอบด้วยวิธีการถดถอยแบบพหุคูณ (Multiple Regression) เพื่อวิเคราะห์หาปัจจัยที่ส่งผลต่อระดับความผูกพันต่อองค์กร ผลการศึกษาพบว่า ในแง่ภูมิหลัง ปัจจัยส่วนบุคคลด้านอายุ และด้านระยะเวลาการทำงานส่งผลต่อความผูกพันต่อองค์กรอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ กล่าวคือระยะเวลาและประสบการณ์ที่เพิ่มมากขึ้นตามอายุมีส่วนเหนี่ยวนำให้เกิดความผูกพันต่อองค์กรอย่างเห็นได้ชัด ทั้งนี้เมื่อพิจารณาถึงปัจจัยคุณภาพชีวิตในการทำงานของผู้ตอบแบบสอบถามในภาพรวมอยู่ในระดับมาก และมีค่าเฉลี่ยรายด้านอยู่ในระดับมากเช่นเดียวกัน อีกทั้งเมื่อนำไปใช้พยากรณ์ระดับความผูกพันต่อองค์กร ก็พบว่าปัจจัยคุณภาพชีวิตในการทำงานทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ (1) ด้านชีวิตและการทำงานที่มีความสมดุลกันโดยส่วนรวม (2) ด้านลักษณะงานที่ส่งเสริมให้เกิดการเติบโตและมั่นคงในงาน และ (3) ด้านการได้รับค่าตอบแทนที่เป็นธรรมและเพียงพอ ต่างส่งผลต่อระดับความผูกพันต่อองค์กรอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ดังนั้นปัจจัยทั้ง 3 ด้านนี้จึงเป็นสิ่งที่องค์กรต้องหันมาให้ความสำคัญ เพื่อเป็นรักษาไว้ซึ่งผู้ปฏิบัติงานของตนให้เกิดความผูกพันและคงอยู่กับองค์กรอย่างยั่งยืน


ปัจจัยที่มีผลต่อคุณภาพชีวิตการทำงานของข้าราชการ พนักงานราชการ และเจ้าหน้าที่ Gen Y กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม, พัทธวรงค์ ไพรัตน์ Jan 2023

ปัจจัยที่มีผลต่อคุณภาพชีวิตการทำงานของข้าราชการ พนักงานราชการ และเจ้าหน้าที่ Gen Y กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม, พัทธวรงค์ ไพรัตน์

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การศึกษาเรื่อง ปัจจัยที่มีผลต่อคุณภาพชีวิตในการทำงานของข้าราชการ พนักงานราชการ และเจ้าหน้าที่ของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบปัจจัยที่มีผลต่อคุณภาพชีวิตในการทำงานของข้าราชการ พนักงานราชการ และเจ้าหน้าที่ของรัฐ ของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และปัจจัยที่มีผลต่อคุณภาพชีวิตในการทำงานตามเกณฑ์ตัวชี้วัด 8 ด้าน โดยกลุ่มประชากรตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ ข้าราชการ พนักงานราชการ และเจ้าหน้าที่ของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม จำนวน 240 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลคือ แบบสอบถาม โดยมีระดับค่าความเชื่อมั่นอยู่ที่ 0.928 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ANOVA และสถิติถดถอยพหุคูณ โดยผลการศึกษาพบว่า 1) ผลการศึกษาคุณภาพชีวิตในการทำงานของข้าราชการ พนักงานราชการ และเจ้าหน้าที่ของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม พบว่า คุณภาพชีวิตในการทำงานโดยภาพรวม มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.61 อยู่ในระดับมาก เมื่อแยกเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่าด้านการรักษาสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวและที่ทำงาน มีค่าเฉลี่ยสูงสุดอยู่ในระดับมาก 2) ปัจจัยส่วนบุคคลของข้าราชการ พนักงานราชการ และเจ้าหน้าที่ของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม พบว่า อายุ ระดับการศึกษา ระยะเวลาในการปฏิบัติงาน รายได้ต่อเดือน และสถานภาพ ที่แตกต่างกันนั้น มีผลต่อคุณภาพชีวิตในการทำงานของข้าราชการ พนักงานราชการ เจ้าหน้าที่ของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม


ประสิทธิผลของการใช้แอปพลิเคชัน Thaidในการลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขต พ.ศ. 2566, พีรพงษ์ หมื่นอินทร์ชัย Jan 2023

ประสิทธิผลของการใช้แอปพลิเคชัน Thaidในการลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขต พ.ศ. 2566, พีรพงษ์ หมื่นอินทร์ชัย

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาประสิทธิผลของแอปพลิเคชัน ThaID ของกรมการปกครองในการอำนวย ความสะดวกประชาชนในการลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขต พ.ศ. 2566 ผลการวิจัยจากการสัมภาษณ์เชิงลึกจากกลุ่มตัวอย่าง 10 คน ได้แก่ เจ้าหน้าที่ของกรมการปกครองจำนวน 5 คน และประชาชนที่ใช้แอปพลิเคชัน ThaID ในการลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขต พ.ศ. 2566 จำนวน 5คน ประกอบการตอบแบบสอบถามของประชาชนที่ลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขต พ.ศ. 2566 จำนวน 80 คน พบว่า การให้บริการภาครัฐผ่านเทคโนโลยีดิจิทัลผ่านแอปพลิเคชัน ThaID ในการลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้า พ.ศ. 2566 มีประสิทธิผลชัดเจนในด้านการลดภาระการเข้าถึงบริการของประชาชนในการเข้ารับบริการจากภาครัฐ ได้แก่ สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ประหยัดเวลาในการดำเนินการลงทะเบียน มีความสะดวก รวดเร็ว ลดขั้นตอนการกรอกข้อมูลที่ซ้ำซ้อน ในด้านของเจ้าหน้าที่ของรัฐ เกิดผลลัพธ์ด้านการลดภาระทางการบริหารเช่นกัน เช่น ลดภาระของเจ้าหน้าที่ในการตรวจเอกสารแบบกระดาษ ลดความผิดพลาดของการตรวจสอบข้อมูลของประชาชน ส่งผลให้มีเวลาในการให้บริการประชาชนในด้านอื่น ๆ เพิ่มมากขึ้น ส่วนประสิทธิผลในด้านความปลอดภัยของข้อมูล ไม่ปรากฏว่ามีกรณีปลอมแปลงตัวตน และทั้งประชาชนและเจ้าหน้าที่ มีความเชื่อมั่นในแอปพลิเคชัน ThaID ในระดับสูง เพราะมองว่าระบบการรักษาข้อมูลมีความปลอดภัย อย่างไรก็ตาม ประสิทธิผลในแง่ของการเปลี่ยนมาใช้แอปพลิเคชันแทนการเดินทางไปลงทะเบียนที่สำนักงานอำเภอหรือเขต ยังสามารถพัฒนาได้อีก เนื่องจากมีเพียง 40% ของผู้ตอบแบบสอบถามที่ระบุว่าได้ใช้แอปพลิเคชันในการลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขต โดยผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เลือกใช้งานแอปพลิเคชัน Smart Vote ของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งแทนที่จะเป็นแอปพลิเคชัน ThaID


การพัฒนาสมรรถนะของข้าราชการสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อมุ่งสู่การเป็นระบบราชการ 4.0, สัณห์สิรี ภุมรา Jan 2023

การพัฒนาสมรรถนะของข้าราชการสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อมุ่งสู่การเป็นระบบราชการ 4.0, สัณห์สิรี ภุมรา

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับระดับสมรรถนะและสมรรถนะที่คาดหวังต่อการเป็นระบบราชการ 4.0 ของข้าราชการสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีในปัจจุบัน รวมถึงศึกษาแนวทางการพัฒนาสมรรถนะของข้าราชการสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีให้สอดรับกับการพัฒนาไปสู่ระบบราชการ 4.0 ในการศึกษาในครั้งนี้ผู้วิจัยเลือกใช้การวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Method Research) โดยกำหนดให้การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เป็นการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ซึ่งประกอบด้วย ผู้ช่วยเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ผู้อำนวยการสำนักงานเลขาธิการ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารทรัพยากรบุคคล และผู้อำนวยการกลุ่มพัฒนาระบบบริหาร ในขณะที่การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) เป็นการสำรวจความคิดเห็นของผู้ปฏิบัติงานจริงในสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจำนวน 156 คน ด้วยแบบสอบถามออนไลน์และนำมาวิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ SPSS โดยใช้สถิติการแจกแจงความถี่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ย และการทดสอบค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ ผลการศึกษาพบว่าการพัฒนาระดับสมรรถนะของข้าราชการสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีในปัจจุบันอยู่ในระดับมากที่สุด และระดับความคาดหวังต่อการเป็นระบบราชการ 4.0 อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาปัจจัยที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับระดับสมรรถนะของข้าราชการสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีในปัจจุบัน และระดับความคาดหวังต่อการเป็นระบบราชการ 4.0 พบว่า ปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ ระดับการศึกษา Generation ระดับตำแหน่ง และระยะเวลาการปฏิบัติงาน ต่างมีความสัมพันธ์กับระดับสมรรถนะของข้าราชการสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และพบว่าปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ ระดับการศึกษา และ Generation มีความสัมพันธ์กับสมรรถนะที่คาดหวังต่อการเป็นระบบราชการ 4.0 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ในส่วนของความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่เกี่ยวข้อง (ปัจจัยภายในตัวบุคคล และปัจจัยภายในองค์การ) กับระดับสมรรถนะของข้าราชการสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทั้ง 6 ด้าน พบว่า ปัจจัยภายในตัวบุคคลด้านความตั้งใจในการพัฒนาความรู้ ทักษะ ทัศนคติมีความสัมพันธ์เป็นอันดับ 1 นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับระดับสมรรถนะที่คาดหวังต่อการเป็นระบบราชการ 4.0 ทั้ง 3 ด้าน พบว่า ปัจจัยภายในองค์กรด้านสภาพแวดล้อมการทำงาน และด้านนโยบายขององค์กร ปัจจัยภายในตัวบุคคลด้านความสำเร็จของงานมีความสัมพันธ์เป็นอันดับ 1 ซึ่งการพัฒนาสมรรถนะของข้าราชการเพื่อการเป็นระบบราชการ 4.0 ยังคงพบอุปสรรคในเรื่องการนำระบบ Competency มาใช้ให้เกิดประโยชน์ การจัดการความรู้อย่างเป็นระบบ การทำให้หัวหน้างานหรือผู้บังคับบัญชาเปิดกว้างเรื่องการสับเปลี่ยนหมุนเวียนงาน ทั้งนี้ ยังมีสมรรถนะที่ควรพัฒนาเพื่อให้สอดรับกับการเป็นระบบราชการ 4.0 ได้แก่ การคิดเชิงระบบและการมองภาพรวมขององค์กร คิดถึงความเชื่อมโยงของกระบวนงานจากภายในไปสู่ภายนอกอย่างเป็นระบบ เพื่อทำให้เกิดการสร้างนวัตกรรมทำงานที่ทันสมัย


ความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการใช้สื่อสังคมออนไลน์กับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของผู้สูงอายุในกรุงเทพมหานคร, สุรัชฎา จิรสุจริตธรรม Jan 2023

ความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการใช้สื่อสังคมออนไลน์กับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของผู้สูงอายุในกรุงเทพมหานคร, สุรัชฎา จิรสุจริตธรรม

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการใช้สื่อสังคมออนไลน์กับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของผู้สูงอายุในกรุงเทพมหานคร ผู้วิจัยเลือกใช้รูปแบบการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้แบบสอบถามเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลของผู้สูงอายุในกรุงเทพมหานครจำนวน 400 คน ทั้งในโรงเรียนผู้สูงอายุและช่องทางออนไลน์ จากนั้นจึงนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ SPSS โดยใช้สถิติการแจกแจงความถี่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ย และการวิเคราะห์ความแปรปรวน ผลการศึกษาพบว่ากลุ่มตัวอย่างผู้สูงอายุในกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ใช้สื่อสังคมออนไลน์ คิดเป็นร้อยละ 93.8 และพบว่ามีระดับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองในระดับปฏิบัติบ่อยครั้ง ทั้งนี้เมื่อพิจารณาถึงความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการใช้สื่อสังคมออนไลน์กับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเอง ผลการวิเคราะห์พบว่าพฤติกรรมการใช้สื่อสังคมออนไลน์ ได้แก่ สถานที่ที่ใช้สื่อสังคมออนไลน์ ความถี่ในการใช้สื่อสังคมออนไลน์ และสื่อสังคมออนไลน์ที่นิยมใช้ มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ในส่วนของภูมิหลังทางประชากร พบว่า สถานภาพ อาชีพ รายได้เฉลี่ยต่อเดือน และสิทธิในการรักษาพยาบาล มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ดังนั้นภาครัฐจึงควรให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งเกี่ยวกับการเตรียมการด้านสาธารณสุขออนไลน์ เพื่อส่งเสริมให้ผู้สูงอายุในสังคมเมืองของประเทศไทยซึ่งเป็นกลุ่มประชากรที่มีความเปราะบาง และมีความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพสามารถนำความรู้ด้านการดูแลสุขภาพตนเองไปปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง อีกทั้งการที่ผู้สูงอายุสามารถดูแลสุขภาพตนเองโดยเรียนรู้ผ่านการใช้สื่อสังคมออนไลน์ได้อย่างเหมาะสม ก็จะสามารถช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐบาล และลดภาระงานที่หนักเกินไปของระบบสาธารณสุขได้เช่นกัน


ประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดตราด ผ่านกระบวนการและบทบาทของศูนย์ดำรงธรรม โดยอธิบายในระดับอำเภอและจังหวัด (กรณีศึกษา จังหวัดตราด), อนุพัฒน์ วัฒนา Jan 2023

ประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดตราด ผ่านกระบวนการและบทบาทของศูนย์ดำรงธรรม โดยอธิบายในระดับอำเภอและจังหวัด (กรณีศึกษา จังหวัดตราด), อนุพัฒน์ วัฒนา

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การศึกษาเรื่อง "ประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดตราด ผ่านกระบวนการและบทบาทของศูนย์ดำรงธรรม โดยอธิบายในระดับอำเภอและจังหวัด (กรณีศึกษาจังหวัดตราด) มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ผ่านกระบวนการและบบาทของศูนย์ดำรงธรรม โดยได้นำแนวคิดการบริหารจัดารภาครัฐแนวใหม่ (NPM) แนวคิดหลัก Good Governace ทฤษฎีการนำนโยบายไปปฏิบัติ แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับความหมายและกระบวนการนโยบายสาธารณะ แนวคิดการบริหารเวลาและการประสานงาน ตลอดจนปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาในพื้นที่ผ่านกระบวนการของศูนย์ดำรงธรรม และปัจจัยที่ทำให้การนำนโยบายไปปฏิบัติแล้วประสบความสำเร็จและล้มเหลว ซึ่งการวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) เป็นการเก็บข้อมูลแบบสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth interview) ต่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง และการเก็บข้อมูลจากการวิจัยเชิงเอกสาร (Documentary Research) ข้อมูลและ Infographic เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ละเอียดและครอบคลุม โดยมุ่งพรรณนาเชิงวิเคราะห์ (Analytical Description) ที่มา ความสำคัญและสาระสำคัญของการจัดตั้งศูนย์ดำรงธรรม และสถิติการรับเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ของศูนย์ดำรงธรรมของศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดตราด ศูนย์ดำรงธรรมอำเภอบ่อไร่ ศูนย์ดำรงธรรมอำเภอเขาสมิง และศูนย์ดำรงธรรมอำเภอเกาะช้าง โดยมีการเปรียบเทียบสถิติประเภทเรื่องร้องเรียนที่คงค้างและไม่สามารถแก้ไขได้ และประเภทเรื่องร้องเรียนที่สามารถแก้ไขได้ในแต่ละอำเภอและภาพรวมทั้งจังหวัด และนำมาวิเคราะห์หาปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดตราดของศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดและศูนย์ดำรงธรรมอำเภอ และวิเคราะห์ปัจจัยความแตกต่างในเรื่องพื้นที่มีผลต่อประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ของศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดและอำเภอ ผลการศึกษา พบว่า ผู้วิจัยได้สรุปผลการศึกษาออกมาเป็น 3 ด้าน ได้แก่ 1) วิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพของการแก้ไขปัญหาจากแนวคิดการบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่ (NPM) และ แนวคิดหลัก Good governance เพื่อแสดงให้เห็นว่าปัจจัยใดที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพของการแก้ไขปัญหาผ่านบทบาทของศูนย์ดำรงธรรม เป็นไปตามแนวคิดดังกล่าวหรือไม่ 2) การนำนโยบายไปปฏิบัติ โดยวิเคราะห์ถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพของการแก้ไขปัญหาผ่านกระบวนการและบทบาทของศูนย์ดำรงธรรม ว่ามีความประสบความสำเร็จหรือความล้มเหลว ซึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพของการแก้ไขปัญหาคือ ข้อกฎหมาย คำสั่ง หลักเกณฑ์ ระเบียบ และนโยบาย, อำนาจหน้าที่ของหน่วยงานและประสิทธิภาพของการบูรณาการของหน่วยงานในพื้นที่ และ ทักษะและประสบการณ์ของผู้ปฏิบัติงานหรือบุคลากร 3) ประสิทธิภาพของศูนย์ดำรงธรรมในการแก้ไขปัญหาเชิงพื้นที่ ซึ่งเป็นส่วนสรุปของการวิจัยทั้งหมดนี้เพื่อนำมาสู่การประเมิน ประสิทธิภาพและประสิทธิผลนโยบายตลอดการมีอยู่ของศูนย์ดำรงธรรมมาตลอด 9 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ.2557 โดยยกกรณีศึกษาจังหวัดตราด และ อำเภอในจังหวัดตราดที่แตกต่างกันในเชิงพื้นที่ ทั้งบริบทสภาพแวดล้อม สังคม และหน่วยงานของรัฐในพื้นที่มา 3 อำเภอ คือ อำเภอบ่อไร่ อำเภอเขาสมิง และอำเภอเกาะช้าง และจากผลการดำเนินนโยบายต่าง ๆ ที่ผู้วิจัยอภิปรายมานั้นแสดงให้เห็นถึงประโยชน์ในเชิงกระบวนการการทำงาน การบริหารราชการในเชิงพื้นที่ให้เกิดการบูรณาการและการแก้ไขปัญหาในเบื้องต้นเพียงเท่านั้น ยังไม่สามารถตอบสนองต่อประชาชนได้มากเพียงพอประกอบกับในบางเรื่องร้องเรียนที่มีความสลับซับซ้อน ประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาของศูนย์ดำรงธรรมก็ไม่สามารถบรรลุในผลลสัมฤทธิ์อย่างครบถ้วนเท่าที่ควร …


ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการคงอยู่ของพนักงานในสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง, อภิชญา กาญจนกิจสกุล Jan 2023

ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการคงอยู่ของพนักงานในสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง, อภิชญา กาญจนกิจสกุล

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การศึกษาเรื่อง "ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการคงอยู่ของพนักงานในสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง" มีวัตถุประสงค์ เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยใดบ้างที่ส่งผลต่อการคงอยู่ของพนักงานในสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเพื่ออธิบายความสัมพันธ์ของปัจจัยที่ส่งผลต่อการคงอยู่ของพนักงานในสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง โดยเป็นการศึกษาเชิงปริมาณ เพื่อนำผลการวิเคราะห์จากปัจจัยที่ส่งผลต่อการคงอยู่ของพนักงานในสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง มาเป็นข้อเสนอแนะในการปรับปรุงแนวทางการรักษาบุคลากร ทั้งในด้านค่าตอบแทน ด้านสภาพแวดล้อมในการทำงาน ด้านบทบาทของหัวหน้างาน ด้านการเรียนรู้และการพัฒนา ด้านเส้นทางรวมถึงด้านความก้าวหน้าในสายอาชีพ ให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยวิเคราะห์ข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 201 คน และใช้สถิติเชิงพรรณนา เพื่ออธิบายข้อมูลเชิงประชากรศาสตร์ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้สถิติเชิงอนุมาน เพื่อทดสอบสมมติฐานของงานวิจัย ได้แก่ T-Test F-Test และสถิติการถดถอยเชิงพหุ เพื่อหาความสัมพันธ์ของข้อมูล ผลการวิจัยพบว่า สถานภาพ อายุ วุฒิการศึกษา รายได้รวมต่อเดือน และอายุงาน ที่แตกต่างกันส่งผลต่อการคงอยู่ของพนักงานในสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ปัจจัยความพึงพอใจที่มีผลต่อการคงอยู่ของพนักงานในสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ได้แก่ ด้านความก้าวหน้า และด้านค่าตอบแทนซึ่งมีอิทธิพลในทิศทางบวกต่อการคงอยู่ของพนักงานในสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และปัจจัยความผูกพันที่ส่งผลต่อการคงอยู่ของพนักงานในสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ได้แก่ ด้านความภาคภูมิใจ และด้านผู้บังคับบัญชา ซึ่งมีอิทธิพลในทิศทางบวกต่อการคงอยู่ของพนักงานในสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05


ประสิทธิผลจากการบังคับใช้พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ พ.ศ. 2565 กรณีศึกษา จังหวัดสมุทรสาคร, อัยยรัช สินธุรา Jan 2023

ประสิทธิผลจากการบังคับใช้พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ พ.ศ. 2565 กรณีศึกษา จังหวัดสมุทรสาคร, อัยยรัช สินธุรา

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การศึกษาเรื่อง “ประสิทธิผลจากการบังคับใช้พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ พ.ศ. 2565 กรณีศึกษา จังหวัดสมุทรสาคร” มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ประสิทธิผลที่เกิดขึ้นจากการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ พ.ศ. 2565 โดยได้นำแนวคิดการบริหารราชการส่วนภูมิภาค ทฤษฎีนโยบายสาธารณะไปปฏิบัติ และแนวคิดการประเมินประสิทธิผลของนโยบายมาศึกษาเพื่อวิเคราะห์ประสิทธิผลของนโยบาย ตลอดจนปัจจัยที่ทำให้การนำนโยบายไปปฏิบัติประสบผลสำเร็จ และปัจจัยที่ยังเป็นปัญหาอุปสรรค ซึ่งการวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive sampling) ผ่านการเก็บข้อมูลโดยใช้การสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth interview) ต่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง และการเก็บข้อมูลจากการวิจัยเชิงเอกสาร (Documentary Research) เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ละเอียดและครอบคลุม โดยมุ่งพรรณนาเชิงวิเคราะห์ (Analytical Description) ที่มา ความสำคัญและสาระสำคัญของพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ พ.ศ. 2565 เปรียบเทียบกับนโยบายผู้ว่า CEO ในอดีต และผลจากการบังคับใช้พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวในบริบทของจังหวัดสมุทรสาคร ผลการศึกษา พบว่า ผู้วิจัยได้สรุปผลการศึกษาออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่ 1) ที่มาและวัตถุประสงค์ของพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ พ.ศ. 2565 เพื่อแสดงให้เป็นว่าเป้าหมายของการมีพระราชกฤษฎีกานั้นเพื่อให้เกิดการบริหารของภาครัฐที่มีการบูรณาการในพื้นที่ในการแก้ไขปัญหา ตอบสนองความต้องการของประชาชน 2) การนำนโยบายไปปฏิบัติ โดยวิเคราะห์ตัวแบบทางทฤษฎีการนำนโยบายไปปฏิบัติเพื่อแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่ส่งผลให้การดำเนินนโยบายเกิดความสำเร็จ ผ่านการวิเคราะห์หน่วยงาน “สำนักงานจังหวัดสมุทรสาคร” ซึ่งเป็นองค์กรที่มีปัจจัยทั้ง 4 ครบถ้วนแต่ไม่สมบูรณ์ กล่าวคือ จากปัจจัยทั้ง 4 ได้แก่ สมรรถนะขององค์การ ประสิทธิภาพในการวางแผนและการควบคุม ภาวะผู้นำและความร่วมมือ และการเมืองและการบริหารสภาพแวดล้อม และ 3) ประสิทธิผลของนโยบาย ได้สรุปผลการดำเนินนโยบายต่าง ๆ แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ในเชิงกระบวนการการทำงาน การบริหารราชการในเชิงพื้นที่ให้เกิดการบูรณาการเพียงเท่านั้น ยังไม่สามารถตอบสนองต่อประชาชนได้มากเพียงพอประกอบกับ ในบางประเด็นของพระราชกฤษฎีกายังไม่ได้มีการบังคับใช้อย่างสมบูรณ์ จึงสรุปได้ว่า การบังคับใช้พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ พ.ศ. 2565 ยังไม่บรรลุประสิทธิผลอย่างสมบูรณ์


การจ้างงานในสภาวะชั่วคราวและเงื่อนไขชีวิตของแรงงานในจังหวัดสระบุรี, อารีรัตน์ ปรีชาวนา Jan 2023

การจ้างงานในสภาวะชั่วคราวและเงื่อนไขชีวิตของแรงงานในจังหวัดสระบุรี, อารีรัตน์ ปรีชาวนา

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

งานวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาถึงการจ้างงานในสภาวะชั่วคราวและเงื่อนไขชีวิตแรงงานในจังหวัดสระบุรี นำไปสู่การหานโยบายเพื่อก่อให้เกิดความยุติธรรมในการจ้างงานแรงงานรับเหมา ตามหลักการแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization : ILO) และหลักการแรงงานสากลอื่นๆ รวมไปถึงการศึกษาถึงสาเหตุที่ทำให้แรงงานเลือกทำงานในระบบการจ้างงานชั่วคราว และผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของแรงงานในสภาะการจ้างงานที่ไม่มั่นคงซึ่งองค์กรควรมีแนวทางในการพัฒนาและปรับปรุงเพื่อให้ก่อเกิดความเป็นธรรมต่อการจ้างงานแรงงานรับเหมาอย่างมีมนุษยธรรมและคำนึงถึงผลได้เสียของแรงงานรับเหมาเป็นสำคัญ โดยงานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพด้วยการสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่างแรงงานเราเหมากลุ่มตัวอย่าง ประกอบกับแรงงานรับเหมาที่มีโอกาสปรับเป็นพนักงานประจำ รวมไปถึงผู้แทนสถานประกอบการ และทำการวิเคราะห์ข้อมูลจากประวัติชีวิตโดยพิจารณาจากแบบแผนของคำพูดวาทกรรมในเรื่องเล่า ผลการศึกษาพบว่าการจ้างงานในภาวะชั่วคราว สัญญาจ้างระยะสั้นนั้นส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและความมั่นคงในการทำงานของแรงงานรับเหมาจากความไม่สามารถเลือกงานได้จากปัจจัยด้านต่างๆในชีวิต เช่น การขาดโอกาสทางการศึกษา, ด้านเพศสภาพ, ด้านอายุ และด้านที่อยู่อาศัย เป็นต้น จึงมีความจำเป็นในการทำงานในระบบการจ้างงานเป็นแรงงานรับเหมาในสภาวะการจ้างงานชั่วคราวดังกล่าว อันจะส่งผลต่อเนื่องสู่การดำรงชีพในชีวิตประจำวันของตัวแรงงานหากไม่ได้รับการต่อสัญญาจ้าง ลักษณะการจ้างงานในสภาวะดังกล่าวนั้นจึงเป็นการยากที่จะก่อให้เกิดความเป็นธรรมในการจ้างงานแรงงานรับเหมา


A Critique On Creative Economy As A Potential Tool For Promotion Of Thailand's Sustainable Development Policy, Jiratchaya Kosintharanon Jan 2023

A Critique On Creative Economy As A Potential Tool For Promotion Of Thailand's Sustainable Development Policy, Jiratchaya Kosintharanon

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

As the world is full of threats, development seems to be an international issue where the state authority has to seek for the most effective solution and drive the development in the country. In Thailand, there is the urgent call to reposition Thailand among ASEAN countries as they used to be and become a developed and sustainable society. Creative economy uses as the potential tool to enhance the sustainable growth and development which also being a feasible option for country. With a diverse usage in the world, it is difficult to ensure the effectiveness after implementation in a country. To …


ศาลเตี้ยออนไลน์ : กรณีศึกษาสถานการณ์ ปฏิสัมพันธ์ และผลกระทบที่เกี่ยวกับคดีอาชญากรรมที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงแต่ถูกสืบสวนและตัดสินในโลกออนไลน์, เขมสรณ์ หนูขาว Jan 2023

ศาลเตี้ยออนไลน์ : กรณีศึกษาสถานการณ์ ปฏิสัมพันธ์ และผลกระทบที่เกี่ยวกับคดีอาชญากรรมที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงแต่ถูกสืบสวนและตัดสินในโลกออนไลน์, เขมสรณ์ หนูขาว

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การศึกษาวิจัยเรื่อง “ศาลเตี้ยออนไลน์ : กรณีศึกษาสถานการณ์ ปฏิสัมพันธ์ และผลกระทบที่เกี่ยวกับคดีอาชญากรรมที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงแต่ถูกสืบสวนและตัดสินในโลกออนไลน์” สามารถสรุปผลการศึกษาโดยอาศัยข้อมูลจากการวิจัยเชิงคุณภาพได้ว่า ศาลเตี้ยออนไลน์คือพื้นที่ทางอารมณ์ที่แสดงบทบาทคู่ขนานไปกับกระบวนการยุติธรรมกระแสหลัก ในรูปแบบของพิธีกรรมที่ทุกคนสามารถริเริ่มและมีกลุ่มคนเข้าร่วมในภายหลัง กลายเป็นการกระทำซ้ำ ๆ ที่มีการเตรียมการ การปฏิบัติการ และการลงโทษ โดยเป็นการใช้อำนาจผ่านสื่อออนไลน์ที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งและนำมาซึ่งความรุนแรง ประกอบด้วย 4 ตัวแสดงที่มีบทบาทแตกต่างกัน ได้แก่ 1) ผู้แสดงส่วนที่ 1 หมายถึง สื่อออนไลน์ที่มีอิทธิพลต่อสังคม 2) ผู้แสดงส่วนที่ 2 หมายถึง กลุ่มคนที่มาร่วมแสดงความคิดเห็นในโลกออนไลน์ 3) ใช้การมองเห็นและการรับรู้เป็นอาวุธจนเกิดการแพร่กระจายไปอย่างกว้างขวาง และ 4) เหยื่อหรือผู้ได้รับผลกระทบ ประกอบด้วยสถานการณ์ 5 รูปแบบ เรียงลำดับจากความรุนแรงน้อยไปหามาก ตั้งแต่การให้ข้อมูล การตีแผ่ การปักธง การสืบสวน และการไล่ล่า ซึ่งเป็นกระบวนการของสถานการณ์ที่ก่อรูปทรงจากพื้นที่ทางอารมณ์ จนกลายเป็นพลังงานทางอารมณ์ และแสดงออกผ่านปฏิสัมพันธ์แบบมีบทบาทแลกเปลี่ยน ที่อาจนำไปสู่ผลกระทบตามมาหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น ด้านผู้กระทำ ด้านเหยื่อหรือผู้ได้รับผลกระทบ ด้านสิทธิมนุษยชน ด้านกระบวนการยุติธรรม และด้านสังคม อย่างไรก็ดี ศาลเตี้ยออนไลน์สามารถพิจารณาได้ทั้งในเชิงบวกและเชิงลบ ด้านหนึ่งอาจก่อให้เกิดความอยุติธรรม กลายเป็นกระบวนการยุติธรรมไวรัลหรือกระบวนยุติธรรมแบบปากต่อปากในโลกออนไลน์ที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงที่จะเกิดการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมและการลงโทษที่ไม่ได้สัดส่วน อีกด้านหนึ่งเปรียบได้ดั่งรูปแบบคู่ขนานของกระบวนการยุติธรรมกระแสหลัก ที่ช่วยถ่วงดุลกระบวนการยุติธรรมผ่านเลนส์เทคโนโลยี จึงจำเป็นจะต้องสนับสนุนด้านบวกและควบคุมด้านลบ เพื่อนำศาลเตี้ยออนไลน์ไปใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง


การวิเคราะห์เชิงลึกเพื่อป้องกันการเกิดความขัดแย้งระหว่างคู่ครองในสังคมยุคดิจิทัล, ไวพจน์ กุลาชัย Jan 2023

การวิเคราะห์เชิงลึกเพื่อป้องกันการเกิดความขัดแย้งระหว่างคู่ครองในสังคมยุคดิจิทัล, ไวพจน์ กุลาชัย

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การศึกษาวิจัยเรื่อง “การวิเคราะห์เชิงลึกเพื่อป้องกันการเกิดความขัดแย้งระหว่างคู่ครองในสังคมยุคดิจิทัล” มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาปัจจัยที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างคู่ครองในยุคดิจิทัล (2) ศึกษาประเภทของความขัดแย้งระหว่างคู่ครองในยุคดิจิทัล (3) ศึกษาผลกระทบของความขัดแย้งระหว่างคู่ครองในยุคดิจิทัล และ (4) เสนอแนะแนวทางในการป้องกันและแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างคู่ครองในยุคดิจิทัล การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (qualitative research) โดยดำเนินการเก็บข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญซึ่งเป็นคู่ครองจำนวน 13 คู่ ด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก และทำการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการวิเคราะห์สรุปอุปนัย (analytic induction) ผลการศึกษา พบว่า การเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีทำให้การใช้ชีวิตคู่มีความเปลี่ยนแปลงไปจากสังคมแบบเก่าทำให้การทำงานและชีวิตส่วนตัวเกิดความผูกพันจนไม่สามารถแยกออกจากกันได้ เทคโนโลยีอาจสร้างความห่างเหินต่อชีวิตคู่ ซึ่งส่งผลต่อความขัดแย้งระหว่างคู่ครองและปัญหาอาชญากรรมรูปแบบใหม่ ส่วนปัจจัยที่ส่งผลต่อความขัดแย้งระหว่างคู่ครองประกอบด้วยปัจจัยเรียงตามลำดับความสำคัญ 12 ปัจจัย ได้แก่ ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ ปัจจัยด้านการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ปัจจัยด้านความแตกต่างในมุมมองหรือทัศนคติ ปัจจัยด้านการสื่อสาร ปัจจัยด้านการนอกใจ ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงดูบุตร ปัจจัยด้านพฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล์ ปัจจัยด้านครอบครัวและเครือญาติของคู่ครอง ปัจจัยด้านเวลาและการจัดการชีวิตประจำวัน ปัจจัยความแตกต่างด้านอายุ ปัจจัยด้านความมีระเบียบและวินัย และปัจจัยด้านการแต่งกาย โดยสามารถจำแนกประเภทของความขัดแย้งระหว่างคู่ครองได้ 5 ประเภท ได้แก่ ความขัดแย้งด้านพฤติกรรมและทัศนคติ ความขัดแย้งทางด้านการเงิน ความขัดแย้งทางด้านเพศ ความขัดแย้งด้านการเลี้ยงดูบุตร และความขัดแย้งทางด้านการแบ่งงานกันทำ นอกจากนั้น ผลการวิจัยยังพบว่า ความขัดแย้งระหว่างคู่ครองส่งผลกระทบในด้านต่าง ๆ ได้แก่ ผลกระทบทางด้านจิตใจ ผลกระทบต่อความรุนแรงในครอบครัว ผลกระทบทางด้านร่างกาย ผลกระทบต่อลูก ผลกระทบต่อหน้าที่การงาน ผลกระทบด้านสังคม และผลกระทบด้านความพึงพอใจในความสัมพันธ์ ทั้งนี้ แนวทางในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างคู่ครองในเชิงสร้างสรรค์ประกอบด้วย การสื่อสารอย่างสร้างสรรค์ การเรียนรู้ ปรับตัวและยอมรับกัน การจัดการทางอารมณ์ การสร้างบรรยากาศที่ดี การสร้างฐานะทางการเงิน การมีส่วนร่วมในงานบ้าน และการมีกิจกรรมร่วมกันซึ่งจะทำให้ครอบครัวสามารถดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืน ดังนั้น การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างคู่ครองควรมีการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น แอปพลิเคชั่นที่ช่วยในการสื่อสารและจัดการความขัดแย้งระหว่างค่าครอง มาช่วยในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาเชิงนโยบายที่ดำเนินการโดยภาครัฐ


การมีส่วนร่วมของอาสาสมัครรักษาดินแดนในการป้องกันอาชญากรรมในพื้นที่อำเภอสุไหงโกลก จังหวัดนราธิวาส, กรัณฑ์วาริษฐ์ สมจันทร์ Jan 2023

การมีส่วนร่วมของอาสาสมัครรักษาดินแดนในการป้องกันอาชญากรรมในพื้นที่อำเภอสุไหงโกลก จังหวัดนราธิวาส, กรัณฑ์วาริษฐ์ สมจันทร์

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การวิจัยเรื่อง “การมีส่วนร่วมของอาสาสมัครรักษาดินแดนในการป้องกันอาชญากรรมในพื้นที่ อำเภอสุไหงโกลก จังหวัดนราธิวาส” มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบทบาทของอาสาสมัครรักษาดินแดนเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ ในอำเภอสุไหงโกลก จังหวัดนราธิวาส ปัญหาและอุปสรรคของอาสาสมัครในการมีส่วนร่วมในการป้องกันอาชญากรรมร่วมกับหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ อำเภอสุไหงโกลก และเพื่อเสนอแนะแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพของอาสาสมัครรักษาดินแดนในการมีส่วนร่วมกับหน่วยความมั่นคงในพื้นที่ อำเภอสุไหงโกลก ในการป้องกันอาชญากรรม การวิจัยนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน ทั้งการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ อาสาสมัครรักษาดินแดน ในอำเภอสุไหงโกลก จังหวัดนราธิวาส จำนวน 202 ราย และผู้ให้ข้อมูลสำคัญในการสัมภาษณ์จำนวน 8 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น คือ สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย สามารถแสดงรายละเอียด ดังนี้ 1) บทบาทของอาสาสมัครรักษาดินแดน อ.สุไหงโกลก จ.นราธิวาส ด้านการรักษาความสงบเรียบร้อย พบว่า มีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก ข้อที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ การเฝ้าระวังภัยคุกคามด้านความมั่นคง 2) บทบาทของอาสาสมัครรักษาดินแดน อ.สุไหงโกลก จ.นราธิวาส ด้านการบริการ พบว่า มีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก ข้อที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ บทบาทในงานจิตอาสาพระราชทานและงานอื่น ๆ ที่เป็นการให้บริการสาธารณะ 3) ปัญหาและอุปสรรคของอาสาสมัคร ด้านการจัดการภายในองค์กร พบว่า อยู่ในระดับปานกลาง ข้อที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ การขาดแคลนงบประมาณและวัสดุอุปกรณ์ 4) ปัญหาและอุปสรรคของอาสาสมัคร ด้านสภาพแวดล้อมภายนอกองค์กร พบว่า อยู่ในระดับปานกลาง ข้อที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ การขาดความร่วมมือในการทำงานจากภายนอกองค์กร 5) การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ สามารถสรุปข้อมูลในภาพรวมได้ว่า ในประเด็นบทบาทด้านการรักษาความสงบเรียบร้อย อาสาสมัครมีการปฏิบัติงานเพื่อเฝ้าระวังภัย โดยเน้นเรื่องผู้ก่อความไม่สงบเป็นสำคัญ ส่วนบทบาทในด้านการบริการ จะเน้นไปที่การอำนวยความสะดวกให้กับเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ สำหรับปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นในการทำงานของอาสาสมัคร จากการสัมภาษณ์ พบว่า มี 5 ประเด็นหลัก ได้แก่ ปัญหาด้านการบังคับใช้กฎหมาย, ปัญหาด้านสวัสดิการของอาสาสมัคร, ปัญหาการขาดแคลนงบประมาณและวัสดุอุปกรณ์, ปัญหาด้านการขาดความร่วมมือในการทำงานภายนอกองค์กร และปัญหาด้านความปลอดภัยในการทำงาน ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับข้อค้นพบที่ได้จากการวิจัยเชิงปริมาณ สำหรับแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการมีส่วนร่วมของอาสาสมัครรักษาดินแดน จะต้องมีความสอดคล้องกับลักษณะปัญหาที่เกิดขึ้นภายในพื้นที่ …


การเรียนรู้คุณค่าประชาธิปไตยของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย, จารุวรรณ แก้วมะโน Jan 2023

การเรียนรู้คุณค่าประชาธิปไตยของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย, จารุวรรณ แก้วมะโน

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

วิทยานิพนธ์ฉบับนี้ต้องการศึกษาว่าอะไรเป็นเงื่อนปัจจัยที่ทำให้นักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายของไทยเกิดการเรียนรู้คุณค่าประชาธิปไตยได้แม้ภายใต้การกล่อมเกลาคุณค่าประชาธิปไตยแบบจำกัดของรัฐไทย กระทั่งนำมาสู่การเคลื่อนไหวทางการเมืองในปี 2563 การวิจัยใช้การศึกษาเอกสารร่วมกับการสัมภาษณ์และการสนทนากลุ่มนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายที่ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองในปี 2563 และครูผู้สอนรายวิชาหน้าที่พลเมืองวัฒนธรรมและการดําเนินชีวิตในสังคม ผลการศึกษาพบว่านักเรียนคือตัวแสดงทางการเมืองที่มีการพิจารณาใคร่ครวญเปรียบเทียบต้นทุนประโยชน์และโทษที่จะได้รับจากการกระทำในสถานการณ์หนึ่งๆและแสวงหาทางเลือกที่ดีที่สุดได้ จึงทำให้การแสดงออกไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับทัศนคติเสมอไป ซึ่งนั่นเป็นช่องว่างที่อาจนำไปสู่การเรียนรู้คุณค่าทางการเมืองที่แตกต่างออกไปจากการกล่อมเกลาที่เป็นอยู่ได้ ผลการศึกษาพบว่าการเรียนรู้คุณค่าประชาธิปไตยของนักเรียนไม่ได้เกิดจากอิทธิพลของอินเตอร์เน็ตโดยลำพัง นักเรียนสามารถเรียนรู้ค่านิยมประชาธิปไตยที่แตกต่างไปจากค่านิยมที่รัฐกล่อมเกลาได้ก็ต่อเมื่อมีเงื่อนไขทั้ง 3 ประการมาบรรจบกัน 1) การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายนอกของการศึกษาเรียนรู้ 2) การตื่นรู้ทางความคิดภายใน และ 3) มีคำอธิบายระหว่างสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับคุณค่าประชาธิปไตยในลักษณะที่นักเรียนรับรู้ถึงประโยชน์ที่จับต้องได้ อย่างไรก็ตาม การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นจะมีลักษณะเป็นวงจรหมุนเวียนระหว่างช่วงของการตื่นรู้กับช่วงของการจำยอมทำตามอันเป็นผลมาจากการเรียนรู้สองชั้นสืบเนื่องจากการปะทะกันของแนวคิดกับการปฏิบัติของปัจเจกบุคคลภายใต้โครงสร้างที่จำกัด


แนวทางการป้องกันอาชญากรรมบนเทคโนโลยีการเงินแบบกระจายศูนย์ (Defi) : กรณีศึกษาปรากฏการณ์ล้มทั้งยืน (Rug Pull), กุลนันทน์ ศรีเจริญ Jan 2023

แนวทางการป้องกันอาชญากรรมบนเทคโนโลยีการเงินแบบกระจายศูนย์ (Defi) : กรณีศึกษาปรากฏการณ์ล้มทั้งยืน (Rug Pull), กุลนันทน์ ศรีเจริญ

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัญหา รูปแบบ ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเกิดปรากฏการณ์ล้มทั้งยืน (Rug Pull) ซึ่งเป็นอาชญากรรมบนเทคโนโลยีการเงินแบบกระจายศูนย์ (DeFi) เพื่อสร้างความเข้าใจให้แก่สังคมและนำไปสู่การแสวงหาแนวทางป้องกันที่เหมาะสม ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยการบูรณาการการวิจัยเชิงเอกสาร การสังเกตแบบชาติพันธุ์วรรณาดิจิทัลและการสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญของหน่วยงานรัฐ หน่วยธุรกิจและตัวแทนนักลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล จำนวน 16 ราย ผลการศึกษา พบว่า ปรากฎการณ์ล้มทั้งยืน (Rug Pull) เป็นอาชญากรรมไซเบอร์ที่อาศัยความน่าเชื่อถือและความปลอดภัยของ DeFi เจตนาหลอกลวงให้นักลงทุนนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาฝากในแพลตฟอร์ม จากนั้นเกิดสถานการณ์ทำให้นักลงทุนสูญเสียเงินลงทุนบางส่วน หรือทั้งหมด หรืออาจจะไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่กล่าวอ้าง ด้วยสภาพปัญหา 4 ด้าน คือ 1) ด้านโลกาภิวัตน์ ผู้ใช้งานสามารถทำธุรกรรมโดยไม่ระบุตัวตนของคู่สัญญาด้วยความรวดเร็วผ่านระบบนิเวศ DeFi การระบุพื้นที่ หรือเขตอำนาจศาลในการลงโทษผู้กระทำผิดจึงเป็นไปด้วยความยากลำบาก 2) ด้านสังคมความเสี่ยง เกิดขึ้นการจากนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่มีความซับซ้อน โดยมีสัญญาอัจฉริยะเป็นกลไกหลักในการควบคุมเงื่อนไขต่าง ๆ 3) ด้านกฎหมายและหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ไม่มีตัวกลางในการกำกับดูแล ทำให้ขาดการตรวจสอบและประเมินความเสี่ยงจากภาครัฐ เมื่อมีความเสียหายเกิดขึ้นจากการฉ้อโกง หรือให้บริการที่ไม่เป็นธรรม จึงไม่ได้รับการคุ้มครอง และ 4) ด้านความร่วมมือระหว่างประเทศ ซึ่งขาดกระบวนการส่งต่อ หรือรับข้อมูลสำคัญที่จะนำมาใช้ในการติดตามตรวจสอบ สืบหาตัวผู้กระทำผิด ทั้งนี้ ปรากฏการณ์ล้มทั้งยืนสามารถเกิดขึ้นได้ 3 รูปแบบ คือ 1) การขโมยสภาพคล่อง 2) การจำกัดการซื้อขาย และ การลากและทุบ โดยมีปัจจัยที่ส่งผลต่อการเกิดปรากฎการณ์ล้มทั้งยืน 3 ปัจจัยหลัก คือ 1) เกิดจากผู้ที่มีความสามารถในการก่ออาชญากรรม 2) เกิดจากนักลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล และ 3) เกิดจากขาดผู้พิทักษ์ที่มีความสามารถ ทั้งนี้ แนวทางการป้องกัน ได้แก่ การพัฒนาการกำกับดูแลและการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลบน DeFi ที่เป็นสากลและชัดเจน การสร้างเครือข่ายเพื่อเผยแพร่องค์ความรู้และสร้างความตระหนักเกี่ยวกับความเสี่ยงในการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลบน DeFi การส่งเสริมให้มีการศึกษาวิจัยและพัฒนาเครื่องมือ หรือกลไกการป้องกันฯ ให้มีประสิทธิภาพ การออกมาตรการกำกับดูแลผู้ให้บริการตรวจสอบสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract Security Audit) สำหรับแพลตฟอร์ม DeFi และการสร้างกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายและผู้ให้บริการสินทรัพย์เสมือน (VASP) เพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมไซเบอร์รูปแบบใหม่ ซึ่งจะสามารถลดช่องโอกาสของการเกิดปรากฎการณ์ล้มทั้งยืน (Rug …


พลวัต เครือข่าย และกรอบโครงความคิดของขบวนการต่อต้านทักษิณในจังหวัดเชียงใหม่, จุฑามาศ สังข์เงิน Jan 2023

พลวัต เครือข่าย และกรอบโครงความคิดของขบวนการต่อต้านทักษิณในจังหวัดเชียงใหม่, จุฑามาศ สังข์เงิน

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

วิทยานิพนธ์ฉบับนี้เป็นการศึกษาเชิงคุณภาพ ศึกษาเรื่องขบวนการต่อต้านทักษิณในจังหวัดเชียงใหม่ ระหว่างปีพ.ศ.2548 – พ.ศ.2557 ศึกษาผ่านกรอบแนวคิดการระดมทรัพยากร แนวคิดการสร้างกรอบโครงความคิด และแนวคิดการวิเคราะห์เครือข่ายทางสังคม ในการตอบวัตถุประสงค์ 2 ข้อ คือ 1. เพื่อศึกษาการก่อตัว พัฒนาการ และพลวัตของขบวนการต่อต้านทักษิณในจังหวัดเชียงใหม่ และ 2. เพื่อศึกษากรอบโครงความคิดของขบวนการต่อต้านทักษิณในจังหวัดเชียงใหม่ ผลการศึกษาตามวัตถุประสงค์ 2 ข้อดังนี้ วัตถุประสงค์ข้อที่ 1. ขบวนการต่อต้านทักษิณเชียงใหม่ก่อตัวขึ้นจากความร่วมมือระหว่างเครือข่ายภาคประชาสังคมนักพัฒนาเอกชน คนเดือนตุลา ชนชั้นกลาง นักวิชาการ นักศึกษา และนักการเมืองท้องถิ่นที่เคยเป็นขบวนภาคประชาชนที่สนับสนุนขบวนการประชาธิปไตย ในช่วงการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตร ฯ พวกเขารวมกลุ่มกันภายใต้การนำของกลุ่มนักพัฒนาเอกชนและเคลื่อนไหวร่วมกับเครือข่ายต่าง ๆ จนกระทั่งเกิดความขัดแย้งทางความคิดภายในขบวนการจนเครือข่ายนักพัฒนาเอกชน เครือข่ายนักศึกษา และเครือข่ายนักการเมืองล่าถอยออกจากขบวนการ ทำให้ขบวนการอยู่ภายใต้การนำของเครือข่ายชนชั้นกลางและเสื่อมพลังลงจนยุติการเคลื่อนไหว ขบวนการต่อต้านทักษิณจังหวัดเชียงใหม่กลับมาก่อตัวขึ้นอีกครั้งในช่วงกลุ่มกปปส. ภายใต้การนำของเครือข่ายนักการเมืองท้องถิ่นโดยได้รับการสนับสนุนจากเครือข่ายชนชั้นกลางเชียงใหม่ ทำให้ขบวนการกลับมาเคลื่อนไหวและได้รับการสนับสนุนขบวนการอย่างสูง แต่เกิดความขัดแย้งขึ้นระหว่างเครือข่ายแนวร่วมทั้งสองทำให้เครือข่ายชนชั้นกลางล่าถอยออกจากขบวนการในที่สุด วัตถุประสงค์ข้อที่ 2. ขบวนการต่อต้านทักษิณจังหวัดเชียงใหม่มีกรอบโครงความคิดที่แบ่งได้เป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ ความคิดทางการเมืองแบบเสรีนิยมและความคิดทางการเมืองแบบอนุรักษ์นิยม ในการก่อตัวของขบวนการช่วงกลุ่มพันธมิตร ฯ พวกเขามีความคิดทางการเมืองแบบเสรีนิยมทำให้ขบวนการมีความหลากหลายทางความคิดและเปิดกว้างให้เครือข่ายแนวร่วมที่มีจุดยืนทางการเมืองแตกต่างเข้าต่อสู้ร่วมกันได้โดยมีเป้าหมายในการขับไล่รัฐบาลทักษิณจากการเมืองไทย แต่ในเวลาต่อมากลุ่มที่มีความคิดทางการเมืองแบบอนุรักษ์นิยมที่ชูแนวทางกษัตริย์นิยม ศาสนานิยม ชาตินิยม และนิยมทหารได้เข้ามามีบทบาทนำเหนือขบวนการผ่านการขยายกรอบโครงความคิดและการระดมทรัพยากร ทำให้กลุ่มที่มีความคิดทางการเมืองแบบเสรีนิยมถอนตัวจากขบวนการต่อต้านทักษิณเชียงใหม่ ต่อมาในการกลับมาของกลุ่มกปปส. ขบวนการก่อตั้งขึ้นโดยกลุ่มที่มีความคิดทางการเมืองแบบอนุรักษ์นิยมโดยในระยะแรกพวกเขามีเป้าหมายร่วมกันเพื่อขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ต่อมาพวกเขารับเอาแนวทางของกลุ่มกปปส.ที่ชูแนวทางต่อต้านประชาธิปไตยและใช้แนวทางแบบชาตินิยม ศาสนานิยม และนิยมทหารจนนำไปสู่การสนับสนุนให้ทหารยึดอำนาจรัฐบาลยิ่งลักษณ์


การจัดการความขัดแย้งเชิงสมานฉันท์กับบริการทางการแพทย์ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลช่วงแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 (พ.ศ. 2563 - 2564), ปิยะวัฒน์ เด่นดำรงกุล Jan 2023

การจัดการความขัดแย้งเชิงสมานฉันท์กับบริการทางการแพทย์ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลช่วงแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 (พ.ศ. 2563 - 2564), ปิยะวัฒน์ เด่นดำรงกุล

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การศึกษาเชิงพรรณนานี้มุ่งศึกษาลักษณะ ปัจจัยที่สัมพันธ์ต่อความขัดแย้ง รูปแบบการจัดการที่มิได้เข้ากระบวนการศาลจากโรงพยาบาลตติยภูมิในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลในช่วงแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมถึงผลกระทบจากสถานการณ์ ตลอดจนโอกาสพัฒนาแนวคิดยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ โดยศึกษาข้อมูลเบื้องต้นจากหน่วยงานบริหารความขัดแย้งผ่านแบบสอบถาม และสัมภาษณ์เชิงลึกในผู้ที่เคยได้รับความเสียหายในบริการทางการแพทย์ ผู้บริหารระบบและไกล่เกลี่ยความขัดแย้ง ผลการศึกษาจากการสำรวจจากโรงพยาบาล 19 แห่ง พบว่าการให้ข้อมูลที่ไม่เหมาะสม และปัญหาการสื่อสาร เป็นเหตุสำคัญสูงสุด (ร้อยละ 71.5) ผู้ไกล่เกลี่ยที่เคยอบรมหลักสูตรการเจรจาไกล่เกลี่ย หรือการบริหารความขัดแย้งมีเพียงส่วนน้อย (ร้อยละ 12.2) และไม่มีผู้รู้จักแนวคิดยุติธรรมสมานฉันท์ ผลสัมภาษณ์เชิงลึกพบว่าความขัดแย้งนั้นเกี่ยวเนื่องกับผู้ป่วยเชื่อว่าความเสียหายนั้นเกิดจากการบริการ ความบกพร่องของสื่อสารหรือท่าทีของผู้ให้บริการ ส่วนอุปสรรคต่อความสำเร็จการยุติความขัดแย้งที่สำคัญ คือ ผู้บริหารความขัดแย้งขาดอำนาจตัดสินใจ แสดงออกไม่จริงใจและไม่เป็นกลาง ผู้ให้บริการทางการแพทย์ที่ไม่แสดงความเห็นใจ และรูปแบบการเยียวยาที่ไม่ตรงความต้องการกับผู้เสียหาย สอดคล้องกับกรณียุติความขัดแย้งสำเร็จพบว่าคณะผู้เสียหายได้รับเยียวยาเพียงพอ ได้รับการสื่อสารที่เข้าใจและเข้าหาสม่ำเสมอ ดังนั้นผู้บริหารควรร่วมบริหารความขัดแย้ง ให้ความสำคัญกับภาระงานและส่งเสริมพัฒนาทักษะผู้ปฏิบัติ รวมทั้งนำหลักยุติธรรมสมานฉันท์มาประยุกต์ใช้ ที่มุ่งเน้นเยียวยาให้อภัยและนำไปสู่ยุติความขัดแย้งได้


สนามวาทกรรม “ความผิดเพศ” และความเกลียดชังทางเพศวิถีที่มีต่อกลุ่มเกย์เพศชายกลุ่มต่างๆภายใต้บริบท “สังคมนิยมชาย” ในประเทศไทย ในศตวรรษที่ 21, ธนา ร่างน้อย Jan 2023

สนามวาทกรรม “ความผิดเพศ” และความเกลียดชังทางเพศวิถีที่มีต่อกลุ่มเกย์เพศชายกลุ่มต่างๆภายใต้บริบท “สังคมนิยมชาย” ในประเทศไทย ในศตวรรษที่ 21, ธนา ร่างน้อย

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การศึกษาวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์และข้อถกเถียงเพื่อศึกษาวิเคราะห์การก่อตัวของการเกิดสนามวาทกรรม “ความผิดเพศ” ภายใต้บริบท “สังคมนิยมชาย” ในสังคมไทย โดยมุ่งศึกษาภาคปฏิบัติการของสนามวาทกรรม “ความผิดเพศ” ในศตวรรษที่ 21 ที่เป็นการปะทะกันระหว่างชุดวาทกรรมรักต่างเพศและชุดวาทกรรมรักเพศเดียวกันแบบคู่ตรงข้าม เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์และการเกิดความเกลียดชังทางเพศวิถีที่มีต่อกลุ่มเกย์เพศชายกลุ่มต่างๆ ในสังคมไทย ผ่านการวิเคราะห์สื่อทางสังคมในรูปแบบต่าง ๆ และสื่อวัฒนธรรมป๊อป อาทิ ละครชุด ภาพยนตร์ บทเพลง หรือหนังสือ ตลอดจนการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์อย่างเทศกาลไพรด์ รวมไปถึงการวิเคราะห์ชุดวาทกรรมทางการอย่าง “กฎหมาย” ได้แก่ ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เพื่อการสมรสเท่าเทียม และร่างพระราชบัญญัติคู่ชีวิต ที่สังคมไทยยังคงมีปัญหาด้านตัวบทกฎหมายการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมและการได้รับความคุ้มครองทางสิทธิและเสรีภาพของกลุ่มเกย์ที่มีข้อจำกัด สะท้อนให้เห็นการแย่งชิงพื้นที่ทางวาทกรรมในสนามวาทกรรมความผิดเพศที่นำไปสู่การเกิดความเกลียดชังทางเพศวิถีที่มีต่อกลุ่มเกย์ ซึ่งผลการศึกษาพบว่า กลุ่มเกย์เพศชายในสังคมไทย ยังคงได้รับผลกระทบจากสนามวาทกรรม “ความผิดเพศ” โดยเฉพาะเรื่องการได้รับความคุ้มครองด้านสิทธิเสรีภาพและการเข้าถึงสิทธิตามกฎหมาย และขาดกฎหมายที่รองรับการแสดงออกและการเข้าถึงสิทธิของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศที่นำไปสู่การเกิดความเกลียดชังทางเพศวิถีที่มีต่อเกย์เพศชายกลุ่มต่าง ๆ โดยงานวิจัยชิ้นนี้ได้สร้างคุณูปการทางวิชาการด้านการศึกษาวาทกรรมและการวิเคราะห์วาทกรรม และสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศ ตลอดจนสร้างความรู้ความเข้าใจด้านอาชญาวิทยาเกี่ยวกับความเกลียดชังทางเพศวิถีที่มีต่อกลุ่มเกย์ให้เกิดความชัดเจนมากยิ่งขึ้น


Information Structure In Moklen, Daniel Peter Loss Jan 2023

Information Structure In Moklen, Daniel Peter Loss

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

This study investigates aspects of information structure in Moklen, an endangered Austronesian language of Southern Thailand. The two objectives were to study the syntactic and informational properties of intonation units and to study the relationship between information status and changes in word-form. With respect to the first objective, Hypothesis 1 held that clausal intonation units would conform to the one-new-idea constraint, while Hypothesis 2 held that variations in argument structure could be accounted for by the given-before-new principle. Regarding changes in word-form, Hypothesis 3 held that use of monosyllabic alternants would correspond to “given” information statuses. To assess these hypotheses, …


การประยุกต์เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศเพื่อประเมินศักยภาพพื้นที่สีเขียวสำหรับความยืดหยุ่นปรับตัวของเมืองในจังหวัดสมุทรสาคร, กรรณิการ์ จันทร์ชิดฟ้า Jan 2023

การประยุกต์เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศเพื่อประเมินศักยภาพพื้นที่สีเขียวสำหรับความยืดหยุ่นปรับตัวของเมืองในจังหวัดสมุทรสาคร, กรรณิการ์ จันทร์ชิดฟ้า

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การกลายเป็นเมืองอย่างรวดเร็วของจังหวัดสมุทรสาครส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่สีเขียวและพื้นที่สาธารณะของเมืองทำให้มีความจำเป็นเร่งด่วนในการเสริมสร้างศักยภาพเพื่อปรับปรุงระบบนิเวศที่จำเป็นของเมืองและสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับทุกคน งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ลักษณะการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่สีเขียวในจังหวัดสมุทรสาคร และประเมินศักยภาพพื้นที่สีเขียวที่เหมาะสมต่อความยืดหยุ่นปรับตัวของเมืองในจังหวัดสมุทรสาคร ด้วยการประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ การวิเคราะห์แบบหลายเกณฑ์โดยวิธีกระบวนการลำดับชั้นเชิงวิเคราะห์ และการสังเคราะห์ความเชื่อมโยงพื้นที่สีเขียวและความยืดหยุ่นปรับตัวของเมือง โดยใช้ข้อมูลจากกรมพัฒนาที่ดิน ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ และการสัมภาษณ์ผู้รู้ในพื้นที่ ผลการศึกษามีดังนี้ (1) จังหวัดสมุทรสาครมีการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินระหว่าง ปี พ.ศ. 2543 ถึง ปี พ.ศ. 2564 เท่ากับ ร้อยละ 35.13 ของพื้นที่จังหวัด โดยพื้นที่เกษตรกรรมเป็นพื้นที่ที่มีการเปลี่ยนไปเป็นที่ดินประเภทอื่น ๆ มากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 63.20 ของการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินทั้งหมด ซึ่งเป็นการเปลี่ยนไปเป็นการใช้ที่ดินประเภทพื้นที่ชุมชนและสิ่งปลูกสร้างมากที่สุด ร้อยละ 59.46 ของการเปลี่ยนแปลงในพื้นที่เกษตรกรรม ทำให้เห็นว่าพื้นที่สีเขียวมีแนวโน้มลดลงและพื้นที่เมืองมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยรูปแบบการใช้ที่ดินนี้สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงตามการพัฒนาทางเศรษฐกิจและการประกอบอาชีพของจังหวัด (2) การประเมินศักยภาพพื้นที่สีเขียวที่เหมาะสมต่อความยืดหยุ่นปรับตัวของเมือง ประกอบด้วยเกณฑ์หลัก 4 ด้าน คือ เศรษฐกิจ-สังคม กายภาพ ธรรมชาติและสภาพแวดล้อม และการเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ผลการประเมินศักยภาพของพื้นที่สีเขียวที่เหมาะสมต่อความยืดหยุ่นปรับตัวของเมือง พบว่า นอกเหนือจากร้อยละ 26.72 ที่เป็นพื้นที่เมืองแล้วนั้น พื้นที่ร้อยละ 73.28 ของจังหวัด คือ พื้นที่ศักยภาพ ซึ่งสามารถจำแนกเป็น 5 ระดับตามศักยภาพของพื้นที่ในการรองรับการขยายตัวของเมือง ประกอบด้วย ศักยภาพสูงมาก (ร้อยละ 3.86) ศักยภาพสูง (ร้อยละ 61.48) ศักยภาพปานกลาง (ร้อยละ 34.13) ศักยภาพต่ำ (ร้อยละ 0.49) และศักยภาพต่ำมาก (ร้อยละ 0.05) ตามลำดับ พื้นที่ระดับศักยภาพสูงมากส่วนใหญ่เป็นการใช้ที่ดินหลากหลายประเภท ประกอบด้วย สถานที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ พืชสวน แหล่งน้ำธรรมชาติ ไม้ผล พื้นที่นา พื้นที่ลุ่ม และ ป่าชายเลน ตามลำดับ พื้นที่เหล่านี้กระจายอยู่ในตำบลต่างๆ ใกล้พื้นที่เขตเมืองและอุตสาหกรรมของจังหวัด เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่ต้องการพื้นที่สีเขียวรองรับการขยายตัวของเมืองเพื่อส่งเสริมให้เมืองมีความยั่งยืนและยืดหยุ่น


ปัจจัยด้านวรรณยุกต์และโน้ตดนตรีที่มีต่อการใช้เสียงก้องพร่าในการร้องเพลงภาษาไทย, ธนกร อัยกร Jan 2023

ปัจจัยด้านวรรณยุกต์และโน้ตดนตรีที่มีต่อการใช้เสียงก้องพร่าในการร้องเพลงภาษาไทย, ธนกร อัยกร

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การศึกษานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยระดับเสียงของวรรณยุกต์และโน้ตดนตรีที่ทำให้เกิดเสียงก้องพร่าในการร้องเพลงภาษาไทยโดยใช้เทคนิคโวคอลฟราย และ 2) ศึกษาลักษณะทางกลสัทศาสตร์ของเสียงก้องพร่าที่ปรากฏในการร้องเพลงภาษาไทยโดยใช้เทคนิคโวคอลฟราย เก็บข้อมูลจากผู้ร่วมวิจัยที่ประกอบอาชีพร้องเพลง ทั้งหมด 10 คน เพศชาย 5 คน เพศหญิง 5 คน อายุตั้งแต่ 20 – 30 ปี บันทึกเสียงผู้ร่วมการทดลอง จากการร้องเพลงภาษาไทยที่ผู้วิจัยแต่งขึ้นใหม่ที่มีการควบคุมวรรณยุกต์อย่างสมดุล ผู้ร่วมวิจัยได้รับอนุญาตให้ออกแบบวิธีการร้องด้วยตนเอง และให้เลือกใช้เสียงก้องพร่า (รู้จักในชื่อเทคนิคโวคอลฟราย) ได้ตามอัธยาศัย จำแนกเสียงก้องพร่าจากการฟังประกอบการพิจารณาแผนภาพคลื่นเสียงเพื่อวิเคราะห์การปรากฏในแต่ละวรรณยุกต์และโน้ตดนตรี ใช้วิธีการทางสถิติด้วย Man – Whitney U Test เพื่อยืนยันข้อแตกต่างที่พบ ศึกษาลักษณะทางกลสัทศาสตร์ของเสียงก้องพร่าทั้งหมด เพื่อระบุประเภทย่อยซึ่งอ้างอิงจากการศึกษาของ Keating et al (2015) รวมถึงวัดค่าระยะเวลาเสียงก้องพร่าจากเสียงสระทั้งหมด ผลการศึกษาปฏิสัมพันธ์ของวรรณยุกต์และโน้ตดนตรีต่อการเกิดเสียงก้องพร่าในการร้องเพลงไทย พบว่า เสียงก้องพร่านั้นสามารถปรากฏได้ในทุกช่วงระดับเสียง แต่ปรากฏในช่วงโน้ตเสียงต่ำมากที่สุดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และโดยภาพรวม ผู้ร่วมวิจัยเพศชายมีการเลือกใช้เสียงก้องพร่ามากกว่าในทุกช่วงระดับเสียง นอกจากนี้ ในช่วงโน้ตเสียงต่ำ เสียงก้องพร่าปรากฏมากที่สุดกับกลุ่มวรรณยุกต์ต่ำสำหรับผู้ร่วมวิจัยทั้งสองกลุ่ม แต่ในช่วงโน้ตเสียงกลาง ผู้ร่วมวิจัยเพศหญิงใช้เสียงก้องพร่าในกลุ่มวรรณยุกต์สูงมากที่สุด ผลการศึกษาลักษณะทางกลสัทศาสตร์ของเสียงก้องพร่าในการร้องเพลงไทย พบว่า โน้ตดนตรีมีอิทธิพลต่อการปรากฏของเสียงก้องพร่าในแต่ละวรณยุกต์ ส่งผลให้ประเภทย่อยของเสียงก้องพร่าค่อนข้างกระจายตัว เพื่อให้เกิดความเหมาะสมกับระดับเสียงที่แตกต่างกัน ทั้งในแง่ของระดับเสียงโน้ตดนตรีและระดับเสียงของวรรณยุกต์ และถึงแม้มีการกระจายตัวค่อนข้างมาก แต่โดยภาพรวม เสียงก้องพร่าแบบโวคอลฟราย ปรากฏในสัดส่วนที่มากที่สุด ซึ่งผู้ร่วมวิจัยทุกคนใช้เสียงก้องพร่าแบบโวคอลฟรายในช่วงโน้ตเสียงต่ำ อีกทั้งโน้ตดนตรียังส่งผลให้ค่าระยะเวลาเสียงก้องพร่าแตกต่างกัน นอกจากนี้ ในช่วงโน้ตเสียงต่ำและกลาง วรรณยุกต์เอกและโท ส่งผลให้ระยะเวลาเสียงก้องพร่ามากกว่าวรรณยุกต์อื่นๆ แต่ในช่วงโน้ตเสียงสูงกลับพบว่าวรรณยุกต์ตรี ส่งผลให้ระยะเวลาของเสียงก้องพร่านั้นมากกว่าในวรรณยุกต์อื่นๆ


การวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินที่มีผลต่อลักษณะของน้ำท่าในลุ่มน้ำระยอง, ปทิตตา กฤตย์จิรกร Jan 2023

การวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินที่มีผลต่อลักษณะของน้ำท่าในลุ่มน้ำระยอง, ปทิตตา กฤตย์จิรกร

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินที่มีผลต่อปริมาณน้ำท่าในลุ่มน้ำระยอง วิธีการวิจัยเริ่มจากจำลองการเกิดน้ำท่าด้วยแบบจำลอง Soil and Water Assessment Tool (SWAT) โดยสอบเทียบค่าพารามิเตอร์และทดสอบประสิทธิภาพแบบจำลองด้วยปริมาณน้ำท่าตรวจวัดรายวันใน พ.ศ. 2558-2563 จากนั้นวิเคราะห์รูปแบบการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินในลุ่มน้ำระยองระหว่าง พ.ศ. 2553-2559 เพื่อคาดการณ์การใช้ประโยชน์ที่ดินใน พ.ศ. 2570 2575 และ 2580 ด้วยแบบจำลอง CA-Markov ผลการศึกษาพบว่าแบบจำลองสามารถคาดการณ์กราฟน้ำท่าได้ในระดับพอใช้ในลุ่มน้ำดอกกราย ลุ่มน้ำหนองปลาไหล และลุ่มน้ำคลองใหญ่ ในขณะที่ลุ่มน้ำทับมาคาดการณ์ปริมาณน้ำท่าในช่วงอัตราการไหลสูงได้ต่ำกว่าความเป็นจริง ส่วนลุ่มน้ำบ้านค่ายไม่สามารถจำลองปริมาณน้ำท่าได้อย่างถูกต้อง สำหรับการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินของลุ่มน้ำระยอง พบว่าพื้นที่สิ่งปลูกสร้างมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปีและการใช้ประโยชน์ที่ดินภาคเกษตรกรรมบางประเภท มีแนวโน้มลดลง จึงกำหนดสถานการณ์การจำลองการใช้ประโยชน์ที่ดินในอนาคตได้ 2 แบบ ที่มีพื้นที่อุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นและเกษตรกรรมลดลงในอัตราที่ต่างกัน โดยใน พ.ศ. 2570 2575 2580 พบว่าลุ่มน้ำระยองมีปริมาณน้ำท่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 23.18 24.95 25.94 จาก พ.ศ. 2563 ในสถานการณ์ที่อุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นเฉลี่ยต่อปีร้อยละ 0.5 และพื้นที่เกษตรกรรมลดลงเฉลี่ยต่อปีร้อยละ 0.5 การใช้ประโยชน์ที่ดินประเภท พืชไร่ ยางพารา อุตสาหกรรม และพื้นที่ชุมชน สามารถอธิบายการเปลี่ยนแปลงปริมาณน้ำท่าของลุ่มน้ำระยองได้มากที่สุดทั้ง 2 สถานการณ์ (R2 ระหว่าง 0.85-0.99) เมื่อพิจารณาลุ่มน้ำย่อย พบว่าลุ่มน้ำทับมามีปริมาณน้ำท่าเพิ่มขึ้นมากที่สุดจาก พ.ศ. 2563 ร้อยละ 50.40 เนื่องจากมีพื้นที่อุตสาหกรรมและชุมชนเพิ่มขึ้นและพื้นที่เกษตรกรรมลดลงมากกว่าลุ่มน้ำย่อยอื่น


การประเมินผลผลิตกาแฟด้วยเทคนิคอากาศยานไร้คนขับ, สาวิตรี จันทร์สิงห์ Jan 2023

การประเมินผลผลิตกาแฟด้วยเทคนิคอากาศยานไร้คนขับ, สาวิตรี จันทร์สิงห์

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

วัตถุประสงค์ของงานวิจัยนี้ เพื่อศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการให้ผลผลิตกาแฟและเพื่อพัฒนาแบบจำลอง การประเมินผลผลิตกาแฟพันธุ์อาราบิกาจากข้อมูลที่ได้จากอากาศยานไร้คนขับ ในพื้นที่บ้านสันเจริญ อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน โดยใช้แปลงตัวอย่าง 4 แปลง และมีช่วงระยะเวลาการเก็บเกี่ยวผลผลิตระหว่างปี 2021-2022 ผู้วิจัยใช้ปัจจัย ค่าความสูง ขนาดทรงพุ่ม เส้นรอบวงลำต้น และปัจจัยดัชนีความพืชพรรณความเขียวของพืชในช่วงคลื่นที่ตามองเห็น (VARI) ด้วยเทคนิคการวิเคราะห์แบบจำลองสมการทางคณิตศาสตร์และการประเมินความน่าเชื่อถือทางสถิติด้วยค่าสัมประสิทธิ์การตัดสินใจ (R2) และค่ารากที่สองของค่าความคลาดเคลื่อนกำลังสองเฉลี่ย (RMSE) ผลการวิจัย พบว่า สมการการประมาณค่าผลผลิตกาแฟของทั้ง 4 แปลง จากความสูง ขนาดทรงพุ่ม เส้นรอบวงลำต้น และ VARI สามารถอธิบายความผันแปรของผลผลิตได้ร้อยละ 74-88 และทุกตัวแปรมีผลต่อการคาดการณ์ผลผลิตกาแฟเฉลี่ยรายต้น อย่างมีนัยสำคัญที่ 95% ซึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อการคาดการณ์ปริมาณผลผลิตมากที่สุดคือเส้นรอบวงลำต้น (0.582) รองลงมาคือดัชนีพืชพรรณ VARI (0.411) ขนาดทรงพุ่ม (0.406) และความสูง (-0.401) เมื่อวิเคราะห์การประเมินจำนวนผลผลิตเฉลี่ยรายต้นของทุกแปลงจะมีค่า RMSE เท่ากับ 2.12 กิโลกรัมต่อต้น นอกจากนี้ผู้วิจัยได้นำสมการการคาดการณ์ผลผลิตเฉลี่ยรายต้นที่ได้ไปทดสอบกับแปลงตรวจสอบ พบว่ามีค่า RMSE เท่ากับ 2.37 กิโลกรัมเฉลี่ยต่อต้น การวิจัยนี้สามารถนำไปเป็นตัวอย่างของการใช้ข้อมูลจากอากาศยานไร้คนขับไปวางแผนผลผลิตเกษตรกรรมต่อไป


Covid-19 Infodemic And Social Media Platforms In Thailand, Abhibhu Kitikamdhorn Jan 2023

Covid-19 Infodemic And Social Media Platforms In Thailand, Abhibhu Kitikamdhorn

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

This study aims to fill a knowledge void on disinformation in a non-western context by examining the infodemic phenomenon in Thailand covering an extensive period from 31 December 2019 to 31 July 2021. The research examines how disinformation about COVID-19 spreads on Facebook and Twitter in Thailand, as well as the effectiveness of counter-disinformation approaches, and policy gaps in addressing the infodemic. Data collection relies on these methodologies—content analysis, sentiment analysis, social network analysis, in-depth interviews, and document analysis. Content analysis of sampled data shows that herbal medicine claims, and politicized COVID-19 information, especially about censorship, are prevalent. Contextual factors …


การสร้างสรรค์เรียงความภาพถ่ายเพื่อสื่อสารเรื่องชีวิตและความตายจากวรรณกรรมเรื่องทิวส์เดส์วิทมอร์รี, ภัทรพร มะณู Jan 2023

การสร้างสรรค์เรียงความภาพถ่ายเพื่อสื่อสารเรื่องชีวิตและความตายจากวรรณกรรมเรื่องทิวส์เดส์วิทมอร์รี, ภัทรพร มะณู

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

งานวิจัยเชิงสร้างสรรค์นี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อสร้างสรรค์เรียงความภาพถ่ายเพื่อสื่อสารเรื่องชีวิตและความตายจากวรรณกรรมเรื่องทิวส์เดส์วิทมอร์รี 2) เพื่อสำรวจทัศนคติของผู้ชมที่มีต่อเรียงความภาพถ่ายจากวรรณกรรมเรื่องทิวส์เดส์วิทมอร์รี มีเครื่องมือในการวิจัยดังต่อไปนี้ 1) วรรณกรรมทิวส์เดส์วิทมอร์รีฉบับภาษาอังกฤษและฉบับแปลไทย 2) บันทึกการสร้างสรรค์ 3) การทดสอบความเที่ยงของเครื่องมือจากผู้เชี่ยวชาญ 4) การสนทนากลุ่ม 5) แบบสอบถาม ผลการวิจัยพบว่า 1) ขั้นตอนก่อนการสร้างสรรค์ ต้องศึกษาและวิเคราะห์โครงสร้างการเล่าเรื่องของวรรณกรรมฯ เพื่อทำความเข้าใจและศึกษาเรื่องชีวิตและความตาย และงานดัดแปลงที่ผ่านมา 2) ขั้นตอนการสร้างสรรค์ ได้แก่ 1) การคัดเลือกและสังเคราะห์วรรณกรรมฯ บทที่แสดงถึงเรื่องชีวิตและความตายเพื่อสร้างสรรค์บทกลอนและตัวละคร 2) การสร้างฉาก 3) การถ่ายและตกแต่งภาพ 4) การจัดทำรูปเล่ม 5) การตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญ 3) ​ขั้นตอนหลังการสร้างสรรค์ การเผยแพร่ผลงานและสำรวจทัศคติผู้ชม 2 กลุ่ม ได้แก่ 1) กลุ่มการสนทนากลุ่ม 2) กลุ่มการตอบแบบสอบถาม แบ่งออกเป็นกลุ่มผู้ที่เคยและไม่เคยอ่านวรรณกรรมฯ ผลการสำรวจผู้ที่เคยอ่านวรรณกรรมฯ สามารถเข้าใจเนื้อหาและแนวคิดเรื่องชีวิตและความตายได้ราบรื่นกว่าอีกกลุ่ม ทั้ง 2 กลุ่มนั้นชื่นชอบองค์ประกอบด้านภาพถ่ายมากที่สุด ส่วนใหญ่มีความเห็นว่าภาพถ่ายและกลอนนั้นส่งเสริมกัน การประเมินด้านการรับรู้เรื่องชีวิตและความตายมีเกณฑ์ในแต่ละองค์ประกอบส่วนใหญ่คือ มาก


การเมืองเรื่องการเลือกตั้งของพรรคประชาธิปัตย์ในการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2562, พรธิดา เผื่อนทิม Jan 2023

การเมืองเรื่องการเลือกตั้งของพรรคประชาธิปัตย์ในการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2562, พรธิดา เผื่อนทิม

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

วิทยานิพนธ์ฉบับนี้ศึกษาการเมืองเรื่องการเลือกตั้งของพรรคประชาธิปัตย์ในการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2562 โดยตั้งคำถามถึงปฏิบัติการในสนามเลือกตั้งของพรรคประชาธิปัตย์ 2 ประการ คือ 1) บริบท เงื่อนไข หลังการรัฐประหาร พ.ศ. 2557 และกติกาทางการเมืองในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ที่ส่งผลต่อพรรคประชาธิปัตย์ในการลงแข่งขันในสนามเลือกตั้ง 24 มีนาคม พ.ศ. 2562 เป็นอย่างไร และ 2) พรรคประชาธิปัตย์ใช้กลยุทธ์ในการหาเสียงเลือกตั้ง 24 มีนาคม พ.ศ. 2562 อย่างไร ทั้งในระดับการลงพื้นที่ของผู้สมัครและในระดับการใช้สื่อเพื่อส่งสารไปยังผู้มีสิทธิเลือกตั้ง งานศึกษานี้ใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพด้วยการวิจัยเชิงเอกสาร และการสัมภาษณ์เชิงลึก ผลการศึกษาสะท้อนบริบทการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นภายใต้ระบอบอำนาจนิยมที่ให้มีการแข่งขัน และการแบ่งขั้วความคิดรูปแบบใหม่ของสังคมที่ด้านหนึ่งให้ความสำคัญกับหลักการประชาธิปไตยและต่อต้านระบอบเผด็จการที่มีกลุ่มทหารเข้ามาแทรกแซงทางการเมือง อีกด้านหนึ่งไม่ไว้วางใจนักการเมือง และสนับสนุนทหาร ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ไม่กล้าโอบรับทั้งสองหลักการอย่างหนักแน่น ทำให้เป็นปัจจัยสู่การสูญเสียฐานเสียงเดิมและในขณะเดียวกันก็ไม่สามารถดึงดูดฐานเสียงใหม่ได้ กอปรกับปัญหาด้านยุทธศาสตร์นโยบายของพรรคที่ไม่มีจุดแข็งและจุดขายเพื่อตอบโจทย์กลุ่มฐานเสียงที่หลากหลายโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ นโยบายเด่นของพรรคประชาธิปัตย์เน้นการเหนี่ยวรั้งฐานเสียงเดิมในพื้นที่ภาคใต้ด้วยการชูนโยบายด้านการเกษตร ผลลัพธ์จากสนามเลือกตั้งปี 2562 แสดงให้เห็นความผุกร่อนและพลวัตของความผูกพันพรรคการเมือง (Party Identification) ระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับฐานเสียงภาคใต้ที่ถูกท้าทายอย่างหนัก การเลือกตั้งครั้งนี้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการสั่นคลอนความเชื่อดั้งเดิมที่ว่า “พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคของคนใต้” ในสนามการเมืองไทย ซึ่งปรากฏชัดขึ้นในการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2566


ปัญหา อุปสรรค และแนวทางการพัฒนาประสิทธิภาพการปฏิบัติงานในการคัดกรองและตรวจสอบผู้โดยสารของตำรวจตรวจคนเข้าเมืองท่าอากาศยานดอนเมือง, รัฐพล สุวรรณรัฐ Jan 2023

ปัญหา อุปสรรค และแนวทางการพัฒนาประสิทธิภาพการปฏิบัติงานในการคัดกรองและตรวจสอบผู้โดยสารของตำรวจตรวจคนเข้าเมืองท่าอากาศยานดอนเมือง, รัฐพล สุวรรณรัฐ

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การศึกษาปัญหา อุปสรรค และแนวทางการพัฒนาประสิทธิภาพการปฏิบัติงานในการคัดกรองและตรวจสอบผู้โดยสารของตำรวจคนเข้าเมืองท่าอากาศยานดอนเมืองนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) เพื่อศึกษาปัญหาและอุปสรรคของตำรวจตรวจคนเข้าเมืองในการป้องกันอาชญากรรมในการคัดกรอง และตรวจสอบผู้โดยสารที่เดินทางเข้าประเทศไทยผ่านท่าอากาศยานดอนเมือง 2)เพื่อเสนอแนะแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพในการคัดกรอง และตรวจสอบผู้โดยสารที่เดินทางเข้าประเทศไทยผ่านท่าอากาศยานดอนเมืองใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth interview) โดยใช้แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง (semi-structured selection interview) สัมภาษณ์ผู้ปฏิบัติงานระดับผู้บริหาร ผู้ควบคุมการปฏิบัติ และผู้ปฏิบัติงานในการคัดกรองและตรวจสอบผู้โดยสาร ณ ท่าอากาศยานดอนเมืองที่เป็นผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 12 คน ผลการศึกษาพบว่า ปริมาณผู้โดยสารที่เดินทางเข้ามาในช่วงเวลาชั่วโมงหนาแน่น ทำให้ระบายผู้โดยสารได้ช้า หรือบุคลากรที่มีในหน่วยงานไม่เพียงพอ ระบบเทคโนโลยีไม่เสถียร ทำให้ไม่สามารถเก็บข้อมูลได้ครบถ้วน เป็นต้น แนวทางพัฒนาประสิทธิภาพการปฏิบัติงานควรมีการเชื่อมโยงฐานข้อมูลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไว้ด้วยกัน เช่น ข้อมูลหมายจับ ข้อมูลประวัติบุคคลพ้นโทษ และมีการอัพเดทข้อมูลต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอเพื่อให้การตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองเป็นไปได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง ที่ปฏิบัติหน้าที่ในสนามบินและในหลายพื้นที่ต้องปฏิบัติ หน้าที่ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งมีความจำเป็นต้องประสานตรวจสอบข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่เสมอ จึงควรมีช่องทางกลางในการประสานงานร่วมระหว่างหน่วยงานที่มีความเกี่ยวข้องใกล้ชิด และสามารถติดต่อสอบถามได้ตลอด 24 ชั่วโมง