Open Access. Powered by Scholars. Published by Universities.®

Social and Behavioral Sciences Commons

Open Access. Powered by Scholars. Published by Universities.®

Chulalongkorn University

Discipline
Keyword
Publication Year
Publication
Publication Type

Articles 811 - 840 of 5570

Full-Text Articles in Social and Behavioral Sciences

การศึกษาวิจัยกระบวนการผลิตสินค้าข้าวเพื่อส่งออกของประเทศไทย, กัญจน์ภิเษกฐ์ สุวรรณรัตน์ Jan 2022

การศึกษาวิจัยกระบวนการผลิตสินค้าข้าวเพื่อส่งออกของประเทศไทย, กัญจน์ภิเษกฐ์ สุวรรณรัตน์

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ประเทศไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวที่สำคัญ จากการที่ปริมาณการส่งออกสินค้าข้าวของไทยเป็นส่วนที่สำคัญของการส่งออกสินค้าเกษตรของประเทศไทย อย่างไรก็ตาม การส่งออกข้าวของประเทศไทยประสบกับปัญหาท้าทายหลายประการ อาทิ การเพิ่มขึ้นของประเทศผู้ส่งออกสำคัญรายอื่น ที่มีศักยภาพการผลิตและขีดความสามารถในการแข่งขันสูง ในการศึกษานี้ ผู้วิจัยจะทำการรวบรวมข้อมูลในที่เกิดขึ้นจริงในประเทศไทย รวมทั้งแนวโน้มการผลิตข้าวเพื่อการส่งออกของประเทศไทย ทั้งกระบวนการผลิตสินค้าข้าวและกระบวนการในการส่งออกสินค้าข้าวของไทย เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นถึงแนวทางในการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในตลาดโลก ทั้งการใช้เทคโนโลยี การเพิ่มมูลค่าสินค้า รวมไปถึงแนวทางในการพัฒนาความสามารถในการแข่งขันอื่นของประเทศไทยอื่นๆ การวิจัยในครั้งนี้จะแสดงให้เห็นถึงจุดแข็งที่ควรส่งเสริมและจุดอ่อนที่ต้องมีการพัฒนา เพื่อให้ประเทศไทยสามารถรักษาความเป็นผู้นำในการส่งออกข้าวและส่งผลดีต่อเศรษฐกิจต่อไป


พิพิธภัณฑ์สึนามิบ้านน้ำเค็ม จังหวัดพังงา : ภูมิหลัง และการขับเคลื่อนนโยบายไปสู่ความมุ่งหวัง, กฤตพัฒน์ ชื่นตระกูล Jan 2022

พิพิธภัณฑ์สึนามิบ้านน้ำเค็ม จังหวัดพังงา : ภูมิหลัง และการขับเคลื่อนนโยบายไปสู่ความมุ่งหวัง, กฤตพัฒน์ ชื่นตระกูล

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

สารนิพนธ์เล่มนี้มีเป้าหมายเพื่อศึกษากระบวนการขับเคลื่อนนโยบายของพิพิธภัณฑ์สึนามิบ้านน้ำเค็มจังหวัดพังงา ที่จัดตั้งขึ้นโดยกระทรวงวัฒนธรรม ในวาระพิเศษเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานของเหตุการณ์สึนามิ ในปี 2547 นับแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน เพื่อทราบถึงกระบวนการนโยบายตลอดจนอุปสรรคที่ส่งผลต่อนโยบาย และพิจารณาแนวทางการบริหารจัดการพิพิธภัณฑ์อันจะนำไปสู่ข้อเสนอเชิงนโยบายที่ให้พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ทำหน้าที่ในการให้บริการสาธารณะแก่สังคมในอนาคตต่อไป ผลการศึกษาพบว่า การขับเคลื่อนนโยบายพิพิธภัณฑ์สึนามิบ้านน้ำเค็ม จังหวัดพังงา ภาวะผู้นำของบุคคลมีความสัมพันธ์กับกระบวนการนโยบาย ผู้บริหารจึงมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้นโยบายสู่วาระทางสังคม และกำหนดนโยบายในการนำไปปฏิบัติผ่านโครงสร้างหน่วยงานราชการ ซึ่งจำเป็นที่ฝ่ายบริหารและฝ่ายข้าราชการประจำต้องผสานความร่วมมือกัน สำหรับในการนำนโยบายไปปฏิบัติเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย นอกจากการนำนโยบายไปปฏิบัติในลักษณะเป็นลำดับชั้นจากบนลงล่าง จำเป็นต้องให้อำนาจการใช้ดุลยพินิจแก่ผู้ปฏิบัติงานจริงในลักษณะแบบล่างขึ้นบน นอกจากนี้การติดต่อเป็นการส่วนตัว รวมถึงการมีส่วนร่วมของประชาชนจะส่งผลช่วยให้นโยบายบรรลุวัตถุประสงค์ นอกจากนี้การคำนึงถึงความเป็นไปได้ทางการเมือง และการปรับเปลี่ยนนโยบายให้เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย จะส่งผลให้เกิดความต่อเนื่องของนโยบายแม้จะเผชิญอุปสรรคด้านมาตรการของนโยบายและการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง สำหรับแนวทางการบริหารจัดการพิพิธภัณฑ์สึนามิบ้านน้ำเค็ม จังหวัดพังงา ต่อไป จะต้องประสานความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการผลักดันพิพิธภัณฑ์ให้เป็นส่วนหนึ่งของวาระทางสังคม และสร้างกลไกระบบการบริหารที่เอื้อต่อการดำเนินงานพิพิธภัณฑ์แบบประชาสังคมในรูปแบบองค์กรไม่แสวงผลกำไร เพื่อให้สามารถดำเนินงานได้ตามภารกิจและเป้าหมายที่คาดหวังอย่างมีประสิทธิภาพ โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลและการเข้ามามีส่วนร่วมของประชาชน ผ่านการจัดกิจกรรมตามคุณค่าขององค์กรซึ่งตอบสนองต่อความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป และการเชื่อมโยงเครือข่ายวิชาการในระดับนานาชาติ อันจะทำให้พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ทำหน้าที่ในการให้บริการสาธารณะแก่สังคมในอนาคตต่อไป


การรับรู้และการให้ความร่วมมือของพนักงานระดับปฎิบัติการต่อมาตรการป้องกันความเสี่ยงอุบัติเหตุในการทำงาน, กาจกำแหง ศุภประเสริฐ Jan 2022

การรับรู้และการให้ความร่วมมือของพนักงานระดับปฎิบัติการต่อมาตรการป้องกันความเสี่ยงอุบัติเหตุในการทำงาน, กาจกำแหง ศุภประเสริฐ

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาภาคอุตสาหกรรมมีความก้าวหน้าอย่างมาก มีการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตจากการใช้แรงงานคนมาเป็นเทคโนโลยีและเครื่องจักร ทำให้มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุในการทำงานเพิ่มมากขึ้น ซึ่งในการเกิดอุบัติเหตุแต่ละครั้งจะก่อให้เกิดความสูญเสียเป็นอย่างมาก การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาการรับรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมที่สอดคล้องกับคู่มือ /แนวทางการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันความเสี่ยงอุบัติิเหตุในการทำงาน (2) เพื่อศึกษากระบวนการที่สนับสนุนในการปฏิบัติตามมาตรการความปลอดภัย ของบริษัทเอกชนสัญชาติไทยแห่งหนึ่ง ในเขตอุตสาหกรรม จังหวัดสมุทรปราการ ในบริบทของงานวิจัยนี้ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ คือพนักงานผู้ปฏิบัติหน้าที่ขับขี่รถโฟล์คลิฟท์ในบริษัทแห่งนี้ จํานวน 5 คน และเจ้าหน้าที่แผนกทรัพยากรบุคคล (HR) จํานวน 2 คน ผลการสัมภาษณ์จากผู้ให้ข้อมูลสําคัญทั้งหมด เมื่อนํามาเปรียบเทียบจากการให้ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับคู่มือ /แนวทางการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันความเสี่ยงอุบัติิเหตุในการทำงาน เพื่อวิเคราะห์ว่าการรับรู้ของผู้ให้ข้อมูลสําคัญ การให้ความร่วมมือและเห็นความสำคัญกับกฎระเบียบและหลักเกณฑ์ในการขับขี่รถโฟล์คลิฟท์ที่บริษัทฯกําหนดหรือไม่อย่างไร โดยในภาพรวมพบว่า ถึงแม้ผู้ปฏิบัติหน้าที่ขับขี่รถโฟล์คลิฟท์จะมีการรับรู้พื้นฐานที่ดีเกี่ยวกับคู่มือ /แนวทางการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันความเสี่ยงอุบัติิเหตุในการทำงาน แต่จากผลการสังเกตการณ์พบว่าพนักงานผู้ปฏิบัติหน้าที่ขับขี่รถโฟล์คลิฟท์ในบางครั้งยังไม่สวมหมวกนิรภัย ไม่ใส่เสื้อสะท้อนแสง ไม่จอดรถที่จุดจอด เป็นต้น แสดงให้เห็นถึงความไม่ต่อเนื่องและเข้มงวดในการส่งเสริมวัฒนธรรมความปลอดภัยในองค์กร ซึ่งบริษัทฯควรสร้างบรรยากาศที่ส่งเสริมการรับรู้และการให้ความร่วมมือด้านความปลอดภัยอย่างต่อเนื่องต่อไป


ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคในการให้การศึกษาแก่เด็กนักเรียนไทย, คุณานนต์ วิหคาภิรมย์ Jan 2022

ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคในการให้การศึกษาแก่เด็กนักเรียนไทย, คุณานนต์ วิหคาภิรมย์

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

งานวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัจจัยที่เป็นอุปสรรคในการให้การศึกษาแก่เด็กนักเรียนไทย และเพื่อศึกษาหาข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัจจัยที่เป็นอุปสรรคในการให้การศึกษาแก่เด็กนักเรียนไทย งานวิจัยชิ้นนี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ โดยได้เลือกสัมภาษณ์บุคากรทางการศึกษาระดับนโยบายไปจนถึงระดับปฏิบัติการ โดยผู้ให้ข้อมูลหลัก ได้แก่ คุณครูระดับมัธยมศึกษา 3 ท่าน ในโรงเรียนกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด บุคลากรในกระทรวงศึกษาธิการ 1 ท่าน และบุคลากรขององค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Southeast Asian Ministers of Education Organization (SEAMEO) 1 ท่าน ผลการวิจัยพบว่าปัจจัยที่เป็นอุปสรรคในการให้การศึกษาแก่เด็กนักเรียนไทย แบ่งออกเป็น 4 ด้าน คือ ด้านงบประมาณ ด้านการบริหารจัดการบุคลากรครู ด้านนโยบายจากส่วนกลาง และด้านหลักสูตร และในแนวทางการแก้ไขปัญหา หรือแนวทางการพัฒนาระบบการศึกษาไทย พบว่าปัญหาส่วนใหญ่สามารถแก้ไขได้ด้วยการหารือร่วมกันระหว่างบุคลากรด้านการศึกษาระดับนโยบาย และระดับปฏิบัติการ นอกจากนั้นรวมถึงต้องได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล จะสามารถแก้ไขปัญหาและวางแผนพัฒนาการศึกษาให้มีประสิทธิภาพได้ในระยะยาว สุดท้ายงานวิจัยชิ้นนี้เสนอข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการแก้ไขปัญหาที่ทำให้เกิดปัจจัยที่เป็นอุปสรรคในการให้การศึกษาแก่เด็กนักเรียนไทยแก่ผู้ที่สนใจต่อไป


ปัจจัยด้านความเครียดในการทำงานและประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรที่เกี่ยวข้องกับงานด้านพิกัดอัตราศุลกากร, จิรัฏฐ์ จิตอรุโณทัย Jan 2022

ปัจจัยด้านความเครียดในการทำงานและประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรที่เกี่ยวข้องกับงานด้านพิกัดอัตราศุลกากร, จิรัฏฐ์ จิตอรุโณทัย

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านความเครียดในการทำงานกับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่กรมศุลการกรที่เกี่ยวข้องกับงานด้านพิกัดอัตราศุลการกร ในการนี้ผู้วิจัยเลือกใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ ซึ่งมีกลุ่มตัวอย่างเป็นเจ้าหน้าที่ศุลกากร ณ กองมาตรฐานพิกัดอัตราศุลกากร และกองนโยบายและอุทธรณ์พิกัดอัตราศุลกากร รวมจำนวน 105 คน โดยใช้แบบสอบถามเชิงโครงสร้างในการเก็บรวบรวมข้อมูล ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความเครียดในการทำงานแบบภาพรวมในระดับปานกลาง และพบว่าปัจจัยที่มีค่าระดับความเครียดในการทำงานสูงที่สุด ได้แก่ ปัจจัยด้านลักษณะงาน รองลงมา ได้แก่ ปัจจัยด้านโครงสร้างและบรรยากาศในองค์การ ปัจจัยด้านความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ปัจจัยด้านบทบาทหน้าที่ และปัจจัยด้านสัมพันธภาพระหว่างบุคคลตามลำดับ อีกทั้งในการศึกษาครั้งนี้ยังพบว่ากลุ่มตัวอย่างมีประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานในระดับมาก ทั้งนี้เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านได้พบว่า กลุ่มตัวอย่างประเมินว่าตนเองมีประสิทธิภาพด้านคุณภาพผลงานมากที่สุด รองลงมา ได้แก่ ด้านระยะเวลา และด้านปริมาณผลงานตามลำดับ นอกจากนี้ในกรณีที่เป็นการทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร ข้อค้นพบที่สำคัญในการศึกษาครั้งนี้ได้แสดงให้เห็นว่าปัจจัยด้านความเครียดจำนวน 4 ใน 5 ด้านมีลักษณะแปรผกผันกับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานด้านพิกัดอัตราศุลกากรอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ หรือกล่าวอีกนัยได้ว่าถ้ากลุ่มตัวอย่างประเมินว่าตนเองไม่ค่อยมีความเครียดในการปฏิบัติงาน พวกเขาก็จะยิ่งประเมินว่าตนเองมีประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตามปัจจัยความเครียดด้านความก้าวหน้าในหน้าที่การงานไม่มีความสัมพันธ์กับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานด้านพิกัดอัตราศุลกากรอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติแต่ประการใด


การศึกษาการปรับตัวต่อการจัดทำงบประมาณเชิงยุทธศาสตร์ของกรมการปกครอง, ชนกนันท์ อุดร Jan 2022

การศึกษาการปรับตัวต่อการจัดทำงบประมาณเชิงยุทธศาสตร์ของกรมการปกครอง, ชนกนันท์ อุดร

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การวิจัยเรื่อง “การศึกษาการปรับตัวต่อการจัดทำงบประมาณเชิงยุทธศาสตร์ของกรมการปกครอง” ซึ่งเป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้วิธีการเก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์จากเจ้าหน้าที่จากส่วนงบประมาณ กองวิชาการและแผนงาน กรมการปกครอง ที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการจัดทำงบประมาณของกรมการปกครอง จำนวน 5 คน และผู้บริหารกรมการปกครองที่มีส่วนเกี่ยวข้องในกระบวนการจัดทำงบประมาณของกรมการปกครอง จำนวน 1 คนและการหาข้อมูลแบบปฐมภูมิ มีวัตถุประสงค์ในการศึกษา ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนากลยุทธ์การจัดทำงบประมาณของกรมการปกครอง 2) เพื่อศึกษากลยุทธ์การจัดทำงบประมาณเชิงยุทธศาสตร์ของกรมการปกครอง โดยงานวิจัยดังกล่าว พบว่า ปัจจัยภายในที่ผลต่อการพัฒนากลยุทธ์การจัดทำงบประมาณเชิงยุทธศาสตร์ของกรมการปกครอง ได้แก่ โครงสร้างองค์กร กลยุทธ์ บุคลากร รูปแบบ ทักษะ และค่านิยมร่วม ซึ่งปัจจัยภายในที่ไม่ส่งผลให้เกิดการพัฒนา ได้แก่ ระบบ ส่วนปัจจัยภายนอกที่มีผลต่อการกลยุทธ์การจัดทำงบประมาณเชิงยุทธศาสตร์ของกรมการปกครอง ได้แก่ เศรษฐกิจ และเทคโนโลยี ส่วนปัจจัยภายนอกที่ไม่ส่งผลให้เกิดการพัฒนาได้แก่ ได้แก่ การเมือง สังคมและวัฒนธรรม กฎหมาย และสภาพแวดล้อม และกลยุทธ์การจัดทำงบประมาณรูปแบบใหม่ของกรมการปกครองมีลักษณะที่เป็นการดำเนินการในกระบวนการรูปแบบเดิมที่มีการใช้วิธีการที่แตกต่างไม่ว่าจะเป็นการปรับเปลี่ยนรูปแบบวิธีการทำงาน ผ่านการจัดตั้ง “ฝ่ายวิเคราะห์และจัดทำคำของบประมาณเชิงยุทธศาสตร์” ขึ้นมา เพื่อรับผิดชอบในเรื่องของการจัดทำงบประมาณโดยเฉพาะ จึงส่งผลให้มีวิธีการทำงานรูปแบบใหม่ ๆ ให้ตอบสนองการทำงานในปัจจุบัน มีการประสานงานมากขึ้น มีการประชุมเพื่อเตรียมความพร้อม แต่อย่างไรก็ตามกลับพบว่าไม่ว่าจะเป็นกลยุทธ์รูปแบบเดิมหรือรูปแบบใหม่ก็ไม่มีการประชุมเพื่อถอดบทเรียนการดำเนินงาน


ความก้าวหน้าในอาชีพของข้าราชการสู่การเป็นตำแหน่งอัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) และตำแหน่งที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) ณ สำนักงานแรงงานในต่างประเทศ กระทรวงแรงงาน, ชญาณี นันตสุวรรณ Jan 2022

ความก้าวหน้าในอาชีพของข้าราชการสู่การเป็นตำแหน่งอัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) และตำแหน่งที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) ณ สำนักงานแรงงานในต่างประเทศ กระทรวงแรงงาน, ชญาณี นันตสุวรรณ

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การศึกษาวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อความก้าวหน้าในอาชีพของตำแหน่งอัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) และตำแหน่งที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) และศึกษากระบวนการคัดเลือกและแต่งตั้งของกองบริหารทรัพยากรบุคคล สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน รวมถึงศึกษาบทบาท การปรับตัว และปัญหาอุปสรรคของข้าราชการ โดยกำหนดรูปแบบวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ ดำเนินเก็บรวมรวมข้อมูลจากเอกสารที่เกี่ยวข้อง และการสัมภาษณ์เชิงลึก โดยมีผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 15 คน คือ ข้าราชการที่ปัจจุบันดำรงตำแหน่งอัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) และตำแหน่งที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) ณ สำนักงานแรงงานในต่างประเทศ และข้าราชการที่ครบวาระจากตำแหน่งอัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) และตำแหน่งที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) รวมถึงข้าราชการของกองบริหารทรัพยากรบุคคล สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน ซึ่งผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ข้าราชการมีความก้าวหน้าในอาชีพสู่การดำรงตำแหน่งอัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) และที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) ได้แก่ 1) ประสบการณ์ 2) ความรู้ ทักษะ และสมรรถนะ 3) ลักษณะงานและสภาพแวดล้อมในการทำงาน 4) ความสัมพันธ์กับผู้บังคับบัญชาและผู้ร่วมงาน และ 5) แรงจูงใจและผลตอบแทน แต่ขาดปัจจัยเรื่องการวางแผนความก้าวหน้าในอาชีพของกองบริหารทรัพยากรบุคคลที่ยังมีข้อจำกัดในทางปฏิบัติที่ยังไม่เป็นรูปธรรมเท่าที่ควร และเมื่อข้าราชการผ่านกระบวนการคัดเลือกและแต่งตั้งให้ไปประจำการ ณ สำนักงานแรงงานในต่างประเทศ ข้าราชการได้มีบทบาทหน้าที่ การปรับตัวการทำงานในต่างประเทศ และปัญหาอุปสรรค ซึ่งสามารถนำมาสู่ข้อเสนอแนะของการบริหารทรัพยากรบุคคลภาครัฐ และการพัฒนาศักยภาพตนเองของข้าราชการในสังกัดกระทรวงแรงงาน ให้มีการสั่งสมประสบการณ์ องค์ความรู้ และทักษะในการปฏิบัติงานที่สำคัญของข้าราชการไปสู่ความก้าวหน้าในอาชีพต่อไป


ผลกระทบของมาตรการ Work From Home ที่มีต่อการปฏิบัติงานพัฒนาทรัพยากรบุคคล กรณีศึกษาการประปานครหลวง, ชวิศา เสาวจันทร์ Jan 2022

ผลกระทบของมาตรการ Work From Home ที่มีต่อการปฏิบัติงานพัฒนาทรัพยากรบุคคล กรณีศึกษาการประปานครหลวง, ชวิศา เสาวจันทร์

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

งานวิจัยนี้ศึกษาผลกระทบของมาตรการปฏิบัติงาน ณ ที่พำนักอาศัย (Work from Home) ต่อการปฏิบัติงานพัฒนาทรัพยากรบุคคล กรณีศึกษาการประปานครหลวง (กปน.) โดยเป็นการศึกษาวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Method) ทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ซึ่งเก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม (Questionnaire) จากพนักงานฝ่ายพัฒนาทรัพยากรบุคคล กปน. จำนวน 29 คน และการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth interview) จำนวน 4 คน โดยมีวัตถุประสงค์การวิจัย ดังนี้ 1. เพื่อศึกษาผลกระทบของมาตรการ Work from Home ที่มีต่อการปฏิบัติงานพัฒนาทรัพยากรบุคคล กรณีศึกษา กปน. และ 2. เพื่อให้ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายต่อมาตรการ Work from Home โดยการปฏิบัติงานพัฒนาทรัพยากรบุคคลแบ่งออกเป็น 3 ด้าน ดังนี้ 1. ด้านการวิเคราะห์และวางแผนพัฒนาทรัพยากรบุคคล (Analysis and Design) 2. ด้านการดำเนินการพัฒนาทรัพยากรบุคคล (Development and Implementation) และ 3. ด้านการประเมินผลการพัฒนาทรัพยากรบุคคล (Evaluation) ผลการวิจัยเชิงปริมาณพบว่า ผลกระทบของมาตรการ Work from Home ต่อการปฏิบัติงานพัฒนาทรัพยากรบุคคลในแต่ละด้านไม่แตกต่างกัน โดยผลกระทบอยู่ในระดับน้อยทั้ง 3 ด้าน แต่เมื่อพิจารณาในรายละเอียดพบว่า ค่าเฉลี่ยคะแนนในแต่ละด้านมีความแตกต่างกันอยู่เล็กน้อย ซึ่งสอดคล้องกันกับผลการวิจัยเชิงคุณภาพที่พบว่า การปฏิบัติงานพัฒนาทรัพยากรบุคคลแต่ละด้านได้รับผลกระทบจากมาตรการ Work from Home ที่แตกต่างกัน โดยเรียงลำดับด้านที่ได้รับผลกระทบจากมากไปน้อย ดังนี้ 1. ด้านการวิเคราะห์และวางแผนพัฒนาทรัพยากรบุคคลได้รับผลกระทบมากที่สุด 2. ด้านการดำเนินการพัฒนาทรัพยากรบุคคลได้รับผลกระทบรองลงมา และ 3. ด้านการประเมินผลการพัฒนาทรัพยากรบุคคลได้รับผลกระทบน้อยที่สุด


การนำระบบติดตามทางศุลกากรรูปแบบกุญแจปิดผนึก (E - Lock) ไปปฏิบัติ กรณีศึกษา ศูนย์เอกซเรย์และเทคโนโลยีศุลกากร สำนักงานศุลกากรท่าเรือกรุงเทพ, ชุติเดช เจียวท่าไม้ Jan 2022

การนำระบบติดตามทางศุลกากรรูปแบบกุญแจปิดผนึก (E - Lock) ไปปฏิบัติ กรณีศึกษา ศูนย์เอกซเรย์และเทคโนโลยีศุลกากร สำนักงานศุลกากรท่าเรือกรุงเทพ, ชุติเดช เจียวท่าไม้

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การศึกษาวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ คือ (1) เพื่อศึกษากระบวนการนำระบบติดตามทางศุลกากรในรูปแบบระบบกุญแจอิเล็กทรอนิกส์ (e-Lock System) ไปปฏิบัติ ณ ศูนย์เอกซเรย์และเทคโนโลยีศุลกากร สำนักงานศุลกากรท่าเรือกรุงเทพ และ (2) เพื่อศึกษาปัญหาหรืออุปสรรคในขั้นตอนการนำระบบติดตามทางศุลกากรในรูปแบบระบบกุญแจอิเล็กทรอนิกส์ (e-Lock System) ไปปฏิบัติ ณ ศูนย์เอกซเรย์และเทคโนโลยีศุลกากร สำนักงานศุลกากรท่าเรือกรุงเทพ งานวิจัยฉบับนี้เป็นการศึกษาเชิงคุณภาพ ด้วยวิธีการสัมภาษณ์จากกลุ่มผู้ให้ข้อมูลจำนวน 11 คน ที่ปฏิบัติงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการนำระบบติดตามทางศุลกากรในรูปแบบระบบกุญแจอิเล็กทรอนิกส์ (e-Lock System) ผลการศึกษาพบว่า กระบวนการนำระบบติดตามทางศุลกากรในรูปแบบระบบกุญแจอิเล็กทรอนิกส์ (e-Lock System) ไปปฏิบัตินั้น มีกระบวนการสำคัญอยู่ 2 ส่วน ได้แก่ กระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการเอกซเรย์ และกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับระบบติดตามทางศุลกากรในรูปแบบระบบกุญแจอิเล็กทรอนิกส์ (e-Lock System) ทั้งนี้ ปัญหาและอุปสรรคในการนำระบบติดตามทางศุลกากรในรูปแบบระบบกุญแจอิเล็กทรอนิกส์ (e-Lock System) ไปปฏิบัตินั้น จะมีอยู่ 3 ประการสำคัญ คือ ปัญหาจากระบบ ปัญหาจากบุคลากร และปัญหาจากทรัพยากร


แนวทางการพัฒนาศูนย์ดำรงธรรมอำเภอตามมาตรฐานการให้บริการของศูนย์ราชการสะดวก (Gecc), ธนรัฐ นันทนีย์ Jan 2022

แนวทางการพัฒนาศูนย์ดำรงธรรมอำเภอตามมาตรฐานการให้บริการของศูนย์ราชการสะดวก (Gecc), ธนรัฐ นันทนีย์

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การศึกษาวิจัยเรื่องแนวทางการพัฒนาศูนย์ดำรงธรรมอำเภอตามมาตรฐานการให้บริการของศูนย์ราชการสะดวก (GECC : Government Easy Contact Center) เป็นการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ทราบถึงปัญหา อุปสรรค ข้อจำกัดในการขอรับรองมาตรฐานการให้บริการของศูนย์ราชการสะดวก (GECC) ของศูนย์ดำรงธรรมอำเภอ และเพื่อเสนอแนะแนวทางในการขอรับรองมาตรฐานการให้บริการของศูนย์ราชการสะดวก (GECC) ต่อไป ผลการศึกษาพบว่า ปัญหา อุปสรรค และข้อจำกัด ที่กลุ่มผู้ให้สัมภาษณ์กล่าวถึงมากที่สุด คือ ประเด็นเรื่องทรัพยากรซึ่งในที่นี้คืองบประมาณและบุคลากรที่ไม่เพียงพอ ประเด็นที่ถูกกล่าวถึงรองลงมาคือ ประเด็นเรื่องเจ้าหน้าที่ในระดับภูมิภาคขาดความเข้าใจและไม่เห็นความสำคัญของนโยบาย ประเด็นเรื่องระบบงานบริการของศูนย์ดำรงธรรมอำเภอยังไม่มีเอกภาพ ไม่มีมาตรฐานเดียวกัน ไม่เป็นนวัตกรรมในการให้บริการ ประเด็นเรื่องหลักเกณฑ์บางประการเป็นข้อจำกัดที่ไม่สามารถปรับปรุงแก้ไขได้ ประเด็นเรื่องเจ้าหน้าที่ในระดับภูมิภาคมีภารกิจหลายด้านทำให้ไม่สามารถปฏิบัติตามนโยบายได้ ตามลำดับ และประเด็นสุดท้ายคือประเด็นเรื่องการขาดการวางแผน ตรวจ ติดตาม ประเมินผลที่ดี


การจัดการทักษะและความรู้ในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ศุลกากรในช่วงการแพร่ระบาดของ Covid-19 :กรณีศึกษา สำนักงานศุลกากรตรวจของผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ, ธนรัตน์ มุ่ยละมัย Jan 2022

การจัดการทักษะและความรู้ในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ศุลกากรในช่วงการแพร่ระบาดของ Covid-19 :กรณีศึกษา สำนักงานศุลกากรตรวจของผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ, ธนรัตน์ มุ่ยละมัย

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

งานศึกษาวิจัยเรื่อง “การจัดการทักษะและความรู้ในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ศุลกากรในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 กรณีศึกษา สำนักงานศุลกากรตรวจของผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ” มีวัตถุประสงค์ในการศึกษา ประกอบด้วย (1) เพื่อศึกษาการจัดการความรู้และทักษะในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ศุลกากร ณ สำนักงานศุลกากรตรวจของผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (2) เพื่อศึกษาแนวทางแก้ไขปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นจากการปิดไม่ให้ผู้โดยสารเข้าประเทศเนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ COVID-19 ที่กระทบต่อการถ่ายทอดความรู้และทักษะในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ศุลกากร (3) เพื่อนำผลการศึกษาที่ได้ไปประยุกต์ใช้เป็นแนวทางในการเตรียมแผนการรับมือหากปัญหาลักษณะนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต โดยมีการเก็บข้อมูลจากการค้นคว้าเอกสาร และการสัมภาษณ์เชิงลึกผ่านผู้ให้ข้อมูล 8 ท่าน ซึ่งเป็นการเลือกแบบเฉพาะเจาะจงจากเจ้าหน้าที่ศุลกากรสังกัดสำนักงานศุลกากรตรวจของผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กรมศุลกากร ผลการศึกษา พบว่า (1) ทักษะความรู้ที่เจ้าหน้าที่ศุลกากรใช้ในการปฏิบัติงานแบ่งออกได้เป็น 4 ด้าน คือ การสังเกต การดูภาพ X-ray การตรวจค้นผู้โดยสาร และความรู้ในข้อกฎหมาย (2) รูปแบบการจัดการถ่ายทอดทักษะความรู้เป็นแบบผสมผสานระหว่างการจัดการอย่างเป็นระบบ และการเรียนรู้จากการปฏิบัติงานจริง (3) นโยบายของภาครัฐในการปิดประเทศงดรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ COVID-19 ส่งผลกระทบต่อการจัดการและถ่ายทอดทักษะความรู้ในการปฏิบัติงาน 2 ด้านหลัก ได้แก่ การที่เจ้าหน้าที่ใหม่ได้รับการฝึกฝนเรียนรู้จากสถานการณ์จริงค่อนข้างน้อย และการสูญหายของทักษะความรู้ของเจ้าหน้าที่เก่าที่มีทักษะและประสบการณ์ในการปฏิบัติงานเนื่องจากการโยกย้ายประจำปี ผลลัพธ์ดังกล่าวนำไปสู่ข้อเสนอแนะในการพัฒนาการจัดการทักษะและความรู้ในการปฏิบัติงานอย่างเป็นระบบ เช่น การสร้างคู่มือปฏิบัติงานที่มีการปรับปรุงเนื้อหาให้ทันสมัย การออกแบบหลักสูตรอบรมความรู้ให้สอดคล้องกับหน่วยงานต้นสังกัดของผู้เข้าอบรม และการพัฒนาการฝึกสอนงานโดยใช้ระบบพี่เลี้ยงที่มีประสิทธิภาพ


ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการมีส่วนร่วมร่วมในการประหยัดพลังงานไฟฟ้าของบุคลากรของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, ธนารีย์ พิชญ์เมธาชัย Jan 2022

ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการมีส่วนร่วมร่วมในการประหยัดพลังงานไฟฟ้าของบุคลากรของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, ธนารีย์ พิชญ์เมธาชัย

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการมีส่วนร่วมในการประหยัดพลังงานไฟฟ้าของบุคลากรของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร กลไกในการขับเคลื่อนการประหยัดพลังงานไฟฟ้าในสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร รูปแบบการศึกษาวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ประกอบด้วย การวิจัยเชิงเอกสาร การสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง และแบบสังเกตการณ์ เก็บรวบรวมข้อมูลจากบุคลากรในกลุ่มงานรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่หนึ่ง และคณะกรรมการขับเคลื่อนโครงการสำนักงานสีเขียวของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร รวมทั้งหมด 11 คน ผลสัมภาษณ์และผลการสังเกตการณ์ถูกนำมาตรวจสอบความน่าเชื่อถือแบบสามเส้า ผลการวิจัยพบว่าคำสัมภาษณ์และผลการสังเกตการณ์ในเรื่องการให้ความร่วมมือในการประหยัดพลังงานไฟฟ้าสอดคล้องกัน กล่าวคือ บุคลากรทั้งหมดให้ความร่วมมือในเรื่องการเปิดไฟเฉพาะบริเวณที่ใช้งานและการปิดสวิตช์ไฟฟ้าหลังเลิกงาน พฤติกรรมที่ไม่ได้ทำแต่เป็นข้อยกเว้นคือการตั้งอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศที่ 25 องศาเซลเซียสเนื่องจากสำนักงานควบคุมเครื่องปรับอากาศการศูนย์กลาง ในประเด็นการผลักดันโครงการนั้นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องควรต้องเพิ่มการประชาสัมพันธ์เป้าหมายโครงการและลักษณะการมีส่วนร่วมที่คาดหวังในบุคลากร การเสริมแรงด้วยกิจกรรม และรายงานความคืบหน้าของโครงการอยู่เสมอ


การจัดการขยะของกรุงเทพมหานครสู่เป้าหมายตามแผนพัฒนากรุงเทพมหานครระยะ 20 ปี, ธรรณชนก สังข์ชัย Jan 2022

การจัดการขยะของกรุงเทพมหานครสู่เป้าหมายตามแผนพัฒนากรุงเทพมหานครระยะ 20 ปี, ธรรณชนก สังข์ชัย

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

วัตถุประสงค์หลักของสารนิพนธ์ฉบับนี้คือการศึกษาสถานการณ์ ปัญหา และอุปสรรคเกี่ยวกับการขับเคลื่อนการจัดการขยะของกรุงเทพมหานครสู่เป้าหมายตามแผนพัฒนากรุงเทพมหานครระยะ 20 ปี ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อนำไปสู่การกำหนดแนวทางการพัฒนาการจัดการขยะของกรุงเทพมหานครอย่างยั่งยืน ทั้งนี้การศึกษาในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ซึ่งมีการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ ผู้อำนวยการส่วนขยะมูลฝอยชุมชน กองจัดการกากของเสียและสารอันตราย กรมควบคุมมลพิษ, ที่ปรึกษาผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ด้านสิ่งแวดล้อม), รองผู้อำนวยการสำนักยุทธศาสตร์และประเมินผล, ผู้อำนวยการกองนโยบายและแผนงาน สำนักสิ่งแวดล้อม, หัวหน้าฝ่ายรักษาความสะอาดและสวนสาธารณะ (สำนักงานเขตปทุมวันและสำนักงานเขตจตุจักร), หัวหน้าพนักงานกวาดและพนักงานเก็บขยะมูลฝอย (สำนักงานเขตคลองเตย) ผลการศึกษาพบว่าปัญหาและอุปสรรคในการขับเคลื่อนการจัดการขยะของกรุงเทพมหานครสู่เป้าหมายตามแผนพัฒนากรุงเทพมหานครระยะ 20 ปี มีจำนวน 5 ด้าน ได้แก่ สมรรถนะขององค์กร, ประสิทธิภาพในการวางแผนและควบคุม, ภาวะผู้นำและความร่วมมือ, การเมืองและการบริหารสิ่งแวดล้อมภายนอก, และกฎหมาย ในขณะเดียวกันก็พบว่าแนวทางการจัดการขยะตามนโยบายของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครซึ่งมีจำนวน 8 นโยบาย ก็มีความสอดคล้องกับแผนพัฒนากรุงเทพมหานคร 20 ปี ซึ่งก็คือการมีเป้าหมายร่วมกันเกี่ยวกับการลดและควบคุมปริมาณมูลฝอย ตลอดจนการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการมูลฝอยตั้งแต่แหล่งกำเนิดจนถึงการกำจัดอย่างถูกต้อง ตามหลักวิชาการ อย่างไรก็ตามนโยบายของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครก็มีความแตกต่างจากแผนพัฒนากรุงเทพมหานครระยะ 20 ปี ในประเด็นเกี่ยวกับการเพิ่มรถขยะขนาดเล็กสำหรับการเก็บขนขยะในซอยต่าง ๆ และการเพิ่มสวัสดิการพนักงานเก็บขยะ เมื่อพิจารณาถึงแนวทางการพัฒนาการจัดการขยะของกรุงเทพมหานครอย่างยั่งยืน ประเทศไทยควรกำหนดนโยบายการแก้ไขปัญหาขยะให้เป็นนโยบายสำคัญของทุกรัฐบาล รวมถึงการกำหนดกฎหมายควบคุมการจัดการขยะในภาพรวมของประเทศให้มีความครอบคลุมการจัดการขยะทั้งระบบ พร้อมทั้งการกำหนดหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการกำกับ ติดตาม ประเมินผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาขยะ ในภาพรวมของประเทศ ในขณะเดียวกันผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและผู้บริหารทุกหน่วยงานในสังกัดกรุงเทพมหานครควรกำหนดนโยบายการแก้ไขปัญหาขยะให้เป็นโครงการสำคัญทุกปีงบประมาณ อีกทั้งต้องพิจารณาปรับข้อบัญญัติเพื่อจัดเก็บค่าธรรมเนียมการเก็บขนขยะให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงปรับปรุงข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครเพื่อเพิ่มสวัสดิการประกันอุบัติเหตุให้กับพนักงานเก็บขนมูลฝอย ตลอดจนสร้างภาคีเครือข่ายในการแก้ไขปัญหาขยะของกรุงเทพมหานครโดยการบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และภาคประชาสังคม


การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี:กรณีศึกษา งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น, นนทกานต์ จริงจิตร Jan 2022

การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี:กรณีศึกษา งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น, นนทกานต์ จริงจิตร

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การศึกษาวิจัยเรื่อง การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี: กรณีศึกษา งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาถึงการเปลี่ยนแปลงของวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น และศึกษากระบวนการการจัดสรรและการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น รวมไปถึงเพื่อสร้างข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการเพิ่มประสิทธิภาพ และสร้างความโปร่งใสของการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยผู้วิจัยใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ ได้แก่ การวิจัยเอกสาร โดยการศึกษาหนังสือ งานวิจัย กฎหมาย ระเบียบ ประกาศ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และดำเนินการรวบรวมข้อมูลวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบกลาง ในทุกรายการของงบกลาง ตั้งแต่ปีงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. 2545 – 2566 และการสัมภาษณ์เชิงลึกบุคคลกลุ่มเป้าหมาย ผลการวิจัยพบว่า วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นในแต่ละปีงบประมาณมีการเปลี่ยนแปลงทั้งเพิ่มขึ้นและลดลง แต่การเปลี่ยนแปลงจะไปในทิศทางที่เพิ่มขึ้นเสียส่วนใหญ่ ส่งผลให้วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากจากในอดีต และพบว่ากระบวนการการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นให้แก่หน่วยรับงบประมาณที่ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายดังกล่าวนั้น เป็นอำนาจในการอนุมัติจัดสรรของฝ่ายบริหาร และ ไม่มีการเปิดเผยมูลการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายดังกล่าวต่อประชาชน จึงนำไปสู่ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายให้รัฐควรปรับปรุงกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับเกี่ยวกับงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ให้มีการเปิดเผยข้อมูลการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยละเอียดแก่สาธารณชน


องค์ประกอบความสำเร็จของธุรกิจและคุณลักษณะของผู้นำกับความสอดคล้องของแนวคิดที่ปรากฏในหนังสือ Good To Great ของ จิม คอลลินส์กรณีศึกษา : บริษัทฯ ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และ Startup ที่ประสบความสำเร็จของไทย, นรัฐ คุณะวัฒนากรณ์ Jan 2022

องค์ประกอบความสำเร็จของธุรกิจและคุณลักษณะของผู้นำกับความสอดคล้องของแนวคิดที่ปรากฏในหนังสือ Good To Great ของ จิม คอลลินส์กรณีศึกษา : บริษัทฯ ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และ Startup ที่ประสบความสำเร็จของไทย, นรัฐ คุณะวัฒนากรณ์

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

สารนิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะศึกษาถึง 1.ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความสำเร็จขององค์การธุรกิจ โดยอาศัยแนวคิดที่ปรากฏในหนังสือจากบริษัทที่ดี สู่ความเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่ (Good to Great) ของ จิม คอลลินส์ และ 2.องค์ประกอบสำคัญที่ส่งผลต่อคุณลักษณะของผู้นำองค์การธุรกิจที่ประสบผลสำเร็จ โดยอาศัยแนวคิดผู้นำระดับที่ 5 ที่ปรากฏในหนังสือ จากบริษัทที่ดี สู่ความเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่ (Good to Great) ของ จิม คอลลินส์ และ ภาวะผู้นำระดับ 5 ของ จอห์น ซี แม็กซ์เวลล์ เพื่อที่จะสามารถนำผลวิจัยไปปรับใช้และพัฒนาต่อยอด ทั้งในด้านของคุณลักษณะผู้นำองค์กรรวมถึงวิธีการและกระบวนการในการบริหารจัดการองค์กรของไทยให้สามารถประสบผลสำเร็จได้อย่างยั่งยืนมากยิ่งขึ้น กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาวิจัยประกอบไปด้วยองค์กรที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีความเชี่ยวชาญแตกต่างกัน 3 องค์กร ที่ คือ 1.องค์กรที่พัฒนาที่พักอาศัยประเภทคอนโดมิเนียม 2.องค์กรที่พัฒนาที่พักอาศัยประเภทหมู่บ้านจัดสรร และ 3.องค์กรผู้รับเหมาก่อสร้างงานโครงการประเภทห้างสรรพสินค้าและห้างสะดวกซื้อขนาดใหญ่ และยังศึกษาวิจัยองค์กรธุรกิจสตาร์ทอัพ (STARTUP) ที่ประสบความสำเร็จได้ในระยะเวลาอันรวดเร็วอีก 2 องค์กร นั่นคือ 4.องค์กรที่เชี่ยวชาญงานด้านออแกไนซ์เซอร์ และ 5.องค์กรที่เชี่ยวชาญในงานด้านการให้บริการด้านเวที แสง-สี-เสียง และภาพในงานอีเว้นท์ต่าง ๆ โดยการวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยการศึกษาข้อมูล เอกสาร และการสัมภาษณ์ผู้บริหาร เจ้าของกิจการ และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับก่อการตั้งและการเปลี่ยนผ่านองค์กร รวมถึงการเข้าร่วมสังเกตการณ์ในกิจกรรมต่าง ๆ ขององค์กรตัวอย่างที่ศึกษาวิจัยในครั้งนี้ด้วย สามารถสรุปผลการศึกษาวิจัยได้ดังนี้คือ องค์กรตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จของไทยที่ทำการศึกษาวิจัย “ไม่มีความสอดคล้อง” ทั้งในด้านแนวคิดหรือแนวทางในการบริหารที่ปรากฏในหนังสือจากบริษัทที่ดี สู่ความเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่ (Good to Great) ของ จิม คอลลินส์ โดยปัจจัยสำคัญที่องค์กรตัวอย่างมีคล้ายคลึงกันเพียง 1 ปัจจัย (จาก 6 ปัจจัย) นั่นคือ แนวความคิดแบบตัวเม่น (เลือกทำในสิ่งที่องค์กรเชี่ยวชาญที่สุด) คือ การที่องค์กรรู้ว่าตนเองเก่งหรือมีความเชี่ยวชาญในเรื่องใด และทุ่มเทลงมือปฏิบัติเฉพาะในสิ่งที่ตนเองถนัดและเชี่ยวชาญนั้นให้เป็นเลิศ และพัฒนาต่อยอดสิ่งนั้นให้กลายเป็นสิ่งที่องค์กรสามารถสร้างสรรค์ผลงานที่เป็นเลิศ ในส่วนของผลวิจัยด้านคุณลักษณะของผู้นำองค์การธุรกิจที่ประสบผลสำเร็จของไทยนั้น พบว่า “ไม่มีความสอดคล้อง” กับแนวคิดผู้นำระดับที่ 5 ที่ปรากฏในหนังสือ จากบริษัทที่ดี สู่ความเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่ (Good to Great) ของ จิม คอลลินส์ …


การบริหารทรัพยากรบุคคลภาครัฐภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 กรณีศึกษากรมธนารักษ์, ปพิชญา นวลศรี Jan 2022

การบริหารทรัพยากรบุคคลภาครัฐภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 กรณีศึกษากรมธนารักษ์, ปพิชญา นวลศรี

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ผลการศึกษาพบว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อการบริหารทรัพยากรบุคคลของกรมธนารักษ์ ในด้านการสรรหา บรรจุ และแต่งตั้ง โดยส่งผลให้ 1) ไม่สามารถดำเนินการสอบเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคลากรได้ กระบวนการนี้หยุดชะงัก จำเป็นจะต้องเลื่อนการสอบเกือบทุกรูปแบบออกไป 2) ส่งผลกระทบให้การสรรหา บรรจุและแต่งตั้งไม่เป็นไปตามแผนที่กำหนด ด้านการพัฒนาทรัพยากรบุคคล ส่งผลให้ 1) ไม่สามารถจัดการฝึกอบรม สัมมนาเพื่อพัฒนาให้แก่บุคลากรได้แบบ Onsite 2) การดำเนิน โครงการ/สัมมนา ที่ไม่สามารถจัดการฝึกอบรมผ่านระบบออนไลน์ได้ต้องชะลอออกไปก่อน 3) โดยภาพรวมจึงทำให้งบประมาณในด้านการพัฒนาและฝึกอบรมปรับลดลง โดยการบริหารทรัพยากรบุคคลของกรมธนารักษ์ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 นั้น จากการศึกษาพบว่า 1) ด้านการสรรหา บรรจุและแต่งตั้ง กรมธนารักษ์ได้ปรับเปลี่ยนวิธีการสรรหาและคัดเลือก เน้นระบบออนไลน์มากขึ้น ทั้งการรับสมัคร การสัมภาษณ์ และการรายงานตัว 2) ด้านการพัฒนาและฝึกอบรมบุคลากร มีการปรับรูปแบบการจัดฝึกอบรม โดยให้กระชับหลักสูตร ปรับเนื้อหา เพิ่มความยืดหยุ่นของการฝึกอบรมให้มีความหลากหลาย ที่สำคัญคือต้องปรับรูปแบบการฝึกอบรม/สัมมนา จาก on site ให้เป็น online โดยผ่านช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ 3) ด้านการประเมินผลปฏิบัติงาน กำหนดให้ผู้บังคับบัญชามอบหมายการปฏิบัติงานให้แก่บุคลากรเป็นรายวันหรือรายสัปดาห์ โดยกำหนดเป้าหมาย ผลผลิตที่คาดหวัง ตัวชี้วัด ผลงานจริง วิธีการที่ใช้ในการติดต่อสื่อสาร และติดตามความคืบหน้าตามความเหมาะสม


การเรียนรู้ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ส่งผลต่อการปฏิบัติงานด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ในรูปแบบการแสวงหาประโยชน์ทางเพศผ่านทางช่องทางออนไลน์ กรณีศึกษา : กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์, ปิ่นวรางค์ กลิ่นหวล Jan 2022

การเรียนรู้ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ส่งผลต่อการปฏิบัติงานด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ในรูปแบบการแสวงหาประโยชน์ทางเพศผ่านทางช่องทางออนไลน์ กรณีศึกษา : กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์, ปิ่นวรางค์ กลิ่นหวล

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การศึกษาการเรียนรู้ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ส่งผลต่อการปฏิบัติงานด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ในรูปแบบแสวงหาประโยชน์ทางเพศผ่านทางช่องทางออนไลน์ ในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาลักษณะการเรียนรู้ของเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมทั้งเสนอแนะแนวทางการปรับปรุงการเรียนรู้เพื่อนำไปสู่การพัฒนาสมรรถนะการปฏิบัติงานด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ โดยการวิจัยครั้งนี้ มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาทราบถึงลักษณะของการเรียนรู้ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ส่งผลต่อการปฏิบัติงาน อีกทั้งทราบถึงศึกษาการเรียนรู้ที่เหมาะสมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ จนนำไปสู่การปรับปรุงการเรียนรู้เพื่อไปพัฒนาสมรรถนะของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการปฏิบัติงาน. โดยการศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ด้วยที่มีการเก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง (Semi-structured Interview) เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ จำแนกเป็น 2 กลุ่มคือดังนี้ 1) กลุ่มตัวอย่างของระดับผู้บังคับบัญชาของกองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ 2) กลุ่มตัวอย่างระดับผู้ใต้บังคับบัญชาของกองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ จากนั้นนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ตามกรอบแนวคิดของการศึกษา ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ ประกอบด้วย 3 ด้าน ดังนี้ 1) แรงขับของการเรียนรู้หรือความพร้อมของการเรียนรู้ ประกอบด้วย อายุและประสบการณ์ในการทำงาน 2) สิ่งเร้าการเรียนรู้หรือการเผชิญกับสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้น คือ การเรียนรู้จากคดีค้ามนุษย์ในรูปแบบแสวงหาประโยชน์ทางเพศผ่านทางช่องทางออนไลน์ที่เกิดขึ้นจริง 3) การตอบสนองต่อการเรียนรู้ คือ การปฏิบัติงานป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ในรูปแบบแสวงหาประโยชน์ทางเพศผ่านทางช่องทางออนไลน์ โดยในการปฏิบัติงานด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ในรูปแบบแสวงหาประโยชน์ทางเพศผ่านทางช่องทางออนไลน์ เจ้าหน้าที่ตำรวจควรมีสมรรถนะคือ 1) ความรู้เกี่ยวเท่าทันกับการเก็บพยานหลักฐานทางดิจิทัล โดยจะต้องมีความรู้ว่าเมื่อเราพบเจอสิ่งที่ใช้ในการกระทำความผิด เจ้าหน้าที่ทุกนายต้องมีความรู้ให้เท่าทันกับช่องการกระทำความผิดที่ผู้กระทำผิดใช้ ซึ่งก่อนหน้านี้การกระทำความผิดผ่านทางออนไลน์ยังมีน้อยแต่ด้วยปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปมากและยิ่งตรวจสอบได้ยาก เพราะฉะนั้นแล้วเจ้าหน้าที่ทุกคนต้องมีความรู้ให้เท่าทันในการเก็บพยานหลักฐานจากช่องทางในการกระทำความผิดในทุกกรณี 2) ทักษะการเก็บพยานหลักฐานทางดิจิทัล ด้วยช่องทางการกระทำความผิดที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นทางดิจิทัลมากขึ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงต้องมีการรวบรวมพยานหลักฐานโดยการเก็บพยานหลักฐานทางดิจิทัล ซึ่งก่อนหน้านี้มีการกระทำความผิดทางช่องทางออนไลน์ที่น้อยจึงทำให้มีทักษะในการเก็บพยานหลักฐานที่น้อย และด้วยยุคสมัยและช่องทางการกระทำความผิดที่เปลี่ยนแปลงไป จึงต้องมีทักษะการเก็บพยานหลักฐานที่ถูกต้องและสามารถรวบรวมข้อมูลได้มากที่สุดเพื่อนำไปสู่การพิสูจน์ผู้กระทำความผิดจ่ต่อไป 3) ความรู้และทักษะในการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อย่างครอบคลุม ด้วยอุปกรณ์ที่ใช้ในการกระทำความผิดที่เปลี่ยนแปลงไป ที่เพราะผู้กระทำความผิดมีการพัฒนาช่องทางการกระทำความผิดหรืออุปกรณ์ที่ใช้อยู่ตลอดเวลา ซึ่งการทำงานในปัจจุบันยังมีความรู้และทักษะในการใช้อุปกรณ์ที่ยังไม่มากพอ ประกอบกับเครื่องมือที่ช่วยในการเก็บพยานหลักฐานที่ยังไม่มีความรู้ที่เพียงพอ เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายจึงต้องมีทั้งความรู้และทักษะในการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และอุปกร์หรือเครื่องมือพิเศษในการช่วยการเก็บพยานหลักฐาน ทั้งนี้การพัฒนาสมรรถนะดังกล่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจ หน่วยงานควรมีแนวทางคือประกอบด้วย 3 ด้าน ดังนี้ 1) การพัฒนาด้านความรู้ คือ ด้วยการการจัดการอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการเก็บพยานหลักฐานทางดิจิทัลแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่รวมไปถึงความรู้เกี่ยวกับแอปพลิเคชันและเครื่องมือที่ซับซ้อนมากขึ้นและยังปิดกั้น ปกป้องการถูกตรวจสอบซึ่งโดยในปัจจุบันเจ้าหน้าที่ตำรวจมีความรู้ในส่วนหนึ่งแล้ว แต่เนื่องด้วยปัจจุบันมีการกระทำความผิดแอปพลิเคชันที่ยังปิดกั้นการถูกตรวจสอบ เครื่องมือที่ใช้ในการกระทำความผิดที่มีการป้องกันการถูกตรวจสอบที่มากขึ้น 2) การพัฒนาด้านทักษะ ประกอบ การที่โดยหน่วยงานเชิญผู้ที่มีทักษะในด้านของการปฏิบัติงานมาอบรมให้ความรู้เพิ่มพูนดทักษะในการเก็บพยานหลักฐานจากช่องทางการกระทำความผิด ไม่ว่าจะเป็นจากแอปพลิเคชันและเครื่องมือที่ใช้ในการกระทำความผิด และทักษะของการใช้อุปกรณ์หรือเครื่องมือพิเศษที่มีส่วนช่วยในการเก็บพยานหลักฐานทางดิจิทัลได้อย่างครบถ้วนแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ และ พร้อมกับการจัดตั้งกลุ่มไลน์และเชิญผู้ที่มีทักษะเข้ามาอยู่ในกลุ่มเพื่อตอบข้อสงสัย 3) การพัฒนาด้านความสามารถในการปฏิบัติงาน ประกอบด้วย โดยการจัดการอบรมจากหน่วยงานและการจัดทำคู่มือของการปฏิบัติงานในการสืบสวนสอบสวนคดีค้ามนุษย์เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผู้วิจัยหวังว่าผลการศึกษานี้จะนำไปสู่แนวทางการปรับปรุงการเรียนรู้เพื่อนำไปสู่การพัฒนาสมรรถนะการปฏิบัติงานด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ในรูปแบบการแสวงหาประโยชน์ทางเพศผ่านทางช่องทางออนไลน์ ต่อไป


ปัจจัยที่ส่งผลต่อการปฏิบัติงานตามอำนาจหน้าที่ของผู้ใหญ่บ้าน กรณีศึกษา อำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่, พิพัฒน์ ปิติสิวะพัฒน์ Jan 2022

ปัจจัยที่ส่งผลต่อการปฏิบัติงานตามอำนาจหน้าที่ของผู้ใหญ่บ้าน กรณีศึกษา อำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่, พิพัฒน์ ปิติสิวะพัฒน์

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การวิจัยเรื่องปัจจัยที่ส่งผลต่อการปฏิบัติงานตามอำนาจหน้าที่ของผู้ใหญ่บ้าน กรณีศึกษาอำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ เป็นการเก็บข้อมูลวิจัยแบบผสม (Mixed Method) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการปฏิบัติงานตามอำนาจหน้าที่ของผู้ใหญ่บ้าน เพื่อเปรียบเทียบการปฏิบัติงานตามอำนาจหน้าที่ของผู้ใหญ่บ้าน โดยจำแนกตามอายุ ระดับการศึกษา และระยะเวลาการดำรงตำแหน่ง และเพื่อศึกษาแนวทางในการพัฒนาการปฏิบัติงานตามอำนาจหน้าที่ของผู้ใหญ่บ้านในเขตอำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ อันจะนำไปสู่การวิเคราะห์เพื่อเสนอแนะแนวทางการประเมินผลการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ใหญ่บ้าน ผ่านประสบการณ์ของผู้ดำรงตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนในพื้นที่ และจากการวิเคราะห์และประมวลผล พบว่า ปัจจัยด้านเพศ มีความสัมพันธ์กับการปฏิบัติงานตามอำนาจหน้าที่ของผู้ใหญ่บ้านอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยเพศชายส่วนใหญ่มีระดับผลการปฏิบัติงานตามอำนาจหน้าที่ของผู้ใหญ่บ้านในระดับที่ต่ำกว่าเพศหญิง สำหรับปัจจัยด้านอายุ พบว่าหากผู้ใหญ่บ้านมีอายุเพิ่มมากขึ้น ผลการปฏิบัติงานตามอำนาจหน้าที่ก็จะลดลงตามไปด้วย นั้นหมายความว่า อายุของผู้ใหญ่บ้านมีผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ใหญ่บ้านอย่างมีนัยสำคัญ ปัจจัยด้านระดับการศึกษา พบว่าหากผู้ใหญ่บ้านมีระดับการศึกษาที่สูงขึ้นก็จะส่งผลต่อผลการปฏิบัติหน้าที่ตามอำนาจหน้าที่เพิ่มสูงขึ้น และปัจจัยสุดท้ายคือ ระยะเวลาการดำรงตำแหน่ง พบว่าเมื่อผู้ใหญ่บ้านมีระยะเวลาการดำรงตำแหน่งที่นานขึ้น จะทำให้ผลการปฏิบัติงานตามอำนาจหน้าที่ลดลง และเมื่อพิจารณาผลการวิจัย ในปัจจัยเรื่องระยะเวลาการดำรงตำแหน่งกับการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ใหญ่บ้านพบว่า การที่ผู้ใหญ่บ้านยิ่งดำรงตำแหน่งนานผลการปฏิบัติหน้าที่ยิ่งลดลงนั้น เกิดจากกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับอำนาจหน้าที่ของผู้ใหญ่บ้านนั้นเปลี่ยนแปลงไป หรือผู้ใหญ่บ้านที่อายุเพิ่มมากขึ้นไม่ได้เข้ารับการฝึกอบรม หรือละเลยการหาความรู้เพิ่มเติม ทำให้ผู้ใหญ่บ้านรุ่นใหม่ ที่พึ่งเข้ารับตำแหน่งมีผลการปฏิบัติหน้าที่ที่ดีกว่า สำหรับผลการวิจัยเชิงปริมาณ ซึ่งมีจำนวน 3 ข้อ อันได้แก่ คำถามข้อแรกเรื่องความสำคัญของการดำรงตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน และวาระการดำรงตำแหน่งของผู้ใหญ่บ้าน พบว่า ผู้ใหญ่บ้านและผู้ที่เกี่ยวข้องมีข้อสรุปเป็นไปในทิศทางเดียวกันว่า ตำแหน่งของผู้ใหญ่บ้านหรือผู้นำหมู่บ้านมีความสำคัญมาก หากแต่จะต้องรู้จักบทบาทหน้าที่ รู้จักระเบียบกฎหมาย และซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยเชิงปริมาณในเรื่องของระดับการศึกษา ที่หากมีการศึกษาที่สูงขึ้นจะทำให้ผลการปฏิบัติงานตามอำนาจหน้าที่ได้ดีมากขึ้น ข้อที่ 2เรื่องความแตกต่างของการปฏิบัติงานตามอำนาจหน้าที่ของผู้ใหญ่บ้านระหว่างในอดีตกับปัจจุบัน พบว่า ผู้ใหญ่บ้านและผู้ที่เกี่ยวข้อง มีข้อสรุปว่า ความแตกต่างของการปฏิบัติงานในอดีตและปัจจุบันแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของผู้ใหญ่บ้านที่เป็นสุภาพสตรีเพิ่มมากขึ้น และผู้ใหญ่บ้านที่ได้รับเลือกตั้งเพราะความรู้ ความสามารถ โดยไม่ได้มาจากตระกูลผู้นำเหมือนในอดีต ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยเชิงปริมาณในเรื่องของเพศ ซึ่งบ่งบอกว่าหากมีเพศต่างกัน ผลของการปฏิบัติงานจะแตกต่างกัน และพบว่าเพศหญิงมีผลการปฏิบัติงานตามอำนาจหน้าที่.ในอัตราร้อยละที่สูงกว่าเพศชาย และข้อท้ายสุด คือข้อเสนอแนะในการปฏิบัติงานในตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน พบว่า ควรจัดให้มีการฝึกอบรมในเรื่องของระเบียบกฎหมาย และส่วนที่เกี่ยวข้องให้เป็นปัจจุบัน เพราะผู้ใหญ่บ้านที่มีอายุมาก หรือดำรงตำแหน่งมานานจะจดจำแบบเดิม ๆ ที่เคยปฏิบัติ หากแต่กฎหมายได้เปลี่ยนแปลงไป ทำให้เกิดการผิดพลาดในการปฏิบัติงานได้ สอดคล้องกับผลการวิจัยเชิงปริมาณในเรื่องอายุและระยะเวลาการดำรงตำแหน่ง หากอายุและระยะเวลาการดำรงตำแหน่งที่มากขึ้น ส่งผลให้ผลการปฏิบัติงานลดลง


ประสิทธิผลในการดำเนินนโยบายโมเดลเศรษฐกิจใหม่ (Bio Ciucular Green Economy : Bcg) ต่อผู้ประกอบการส่งออกอาหารไทย, ภัณฑิรา เศรษฐจิรวิโรจน์ Jan 2022

ประสิทธิผลในการดำเนินนโยบายโมเดลเศรษฐกิจใหม่ (Bio Ciucular Green Economy : Bcg) ต่อผู้ประกอบการส่งออกอาหารไทย, ภัณฑิรา เศรษฐจิรวิโรจน์

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการดำเนินนโยบายให้เกิดประสิทธิผลและศึกษาแนวทางการพัฒนาและช่วยเหลือการปรับตัวของผู้ประกอบการอาหารไทยในกิจกรรม BCG THE NEXT GEN ของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ โดยการศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้แทนจากกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ผู้ประกอบการทางด้านอาหารที่เข้าร่วมกิจกรรม BCG THE NEXT GEN และเจ้าหน้าที่สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผลจากการศึกษาพบว่า ที่ผ่านมาการดำเนินงานเพื่อขับเคลื่อนนโยบายโมเดลเศรษฐกิจใหม่มีประสิทธิผลแต่ไม่มากเท่าที่ควร โดยปัจจัยที่ส่งผลต่อการดำเนินโยบาย ได้แก่ ความเร่งด่วนของนโยบายก่อให้เกิดข้อจำกัดในการจัดสรรงบประมาณอย่างไม่ทั่วถึง ทั้งนี้ ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่มีอิทธิพลต่อการจัดทำโครงการ และกิจกรรม เช่น กฎระเบียบของกลุ่มตลาดประเทศเป้าหมาย ซึ่งส่งผลต่อการปรับตัวของผู้ประกอบการ รวมไปถึงการบูรณาการบันทึกความร่วมมือระดับกระทรวงที่ยังไม่เป็นรูปธรรมและไม่เกิดผลตามที่คาดหวังในการส่งเสริมการส่งออกผู้ประกอบการอาหารไทย ทั้งนี้ แนวทางในการปรับปรุงนโยบายอาจทำได้โดยเริ่มจากการจัดทำงบประมาณที่มุ่งเน้นผลงานตามยุทธศาสตร์ (Strategic Performance Based Budgeting : SPBB) ควบคู่ไปกับการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนสำรองเมื่อเกิดนโยบายเร่งด่วน ปรับเปลี่ยนระบบการวัดผลให้มีประสิทธิผลเพื่อต่อยอดในการขอจัดสรรงบประมาณประจำปีที่สูงขึ้น และจัดทำแผนการบูรณาการระหว่างหน่วยงานที่ชัดเจนและมีเนื้อหาสาระภายใต้บันทึกความร่วมมือเพื่อต่อยอดการส่งออกสินค้าอาหารโดยเฉพาะเจาะจง


อัตลักษณ์ร่วมและแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของอาสาสมัครแรงงาน: กรณีศึกษา อาสาสมัครแรงงานจังหวัดสมุทรปราการ, ภัณฑิรา หนูในน้ำ Jan 2022

อัตลักษณ์ร่วมและแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของอาสาสมัครแรงงาน: กรณีศึกษา อาสาสมัครแรงงานจังหวัดสมุทรปราการ, ภัณฑิรา หนูในน้ำ

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การวิจัยนี้ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพที่มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอัตลักษณ์ร่วม (Collective Identity) ศึกษาแรงจูงใจในการปฏิบัติงาน และศึกษาปัญหาอุปสรรคในการปฏิบัติงานของอาสาสมัครแรงงานจังหวัดสมุทรปราการ โดยเก็บข้อมูลด้วยเทคนิคการวิจัยเอกสาร และเทคนิคการสัมภาษณ์แบบเจาะลึกอาสาสมัครแรงงานจังหวัดสมุทรปราการ จำนวน 12 คน และนำข้อมูลมาวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่าปัจจัยด้านอายุ ปัจจัยด้านอาชีพ ปัจจัยด้านรูปแบบการใช้ชีวิต (Lifestyle) และปัจจัยด้านการเป็นคนในพื้นที่ เป็นอัตลักษณ์ร่วมที่โดดเด่นของอาสาสมัครแรงงาน โดยแรงจูงใจในการเป็นอาสาสมัครแรงงาน 3 อันดับสูงสุด คือ 1) ความต้องการช่วยเหลือผู้อื่น ต้องการทำประโยชน์เพื่อสังคม 2) ความต้องการทำงานร่วมกับผู้อื่น ต้องการเป็นที่รู้จักของผู้คนมากขึ้น และ 3) ความต้องการสร้างความภาคภูมิใจในตนเอง ขณะที่ปัญหาและอุปสรรคในการปฏิบัติงานเกิดจากสาเหตุหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับทั้งหน่วยงานภาครัฐและอาสาสมัครแรงงาน เช่น อาสาสมัครแรงงานต้องการให้มีการจัดอบรมเพิ่มพูนความรู้มากขึ้น หน่วยงานไม่มีสวัสดิการการทำงานมอบให้อาสาสมัครแรงงาน จำนวนอาสาสมัครแรงงานไม่เพียงพอในการขับเคลื่อนภารกิจ เป็นต้น ดังนั้น ผู้วิจัยจึงมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งทำหน้าที่กำกับดูแลการทำงานของอาสาสมัครแรงงาน อาทิ การจัดอบรมความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนภารกิจให้แก่อาสาสมัครแรงงานเป็นประจำ การเพิ่มสวัสดิการการทำงานอย่างค่าเดินทางในการลงพื้นที่ รวมถึงการมอบรางวัลในโอกาสต่าง ๆ เพื่อเป็นการเพิ่มแรงจูงใจให้อาสาสมัครแรงงานตั้งใจปฏิบัติงานอย่างเต็มศักยภาพและทำงานให้กับกระทรวงแรงงานต่อไป


ปัจจัยที่ส่งผลต่อการสมัครเข้าร่วมโครงการข้าราชการผู้มีผลสัมฤทธิ์สูงของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ, ภัสธารีย์ พลไพโรจน์ Jan 2022

ปัจจัยที่ส่งผลต่อการสมัครเข้าร่วมโครงการข้าราชการผู้มีผลสัมฤทธิ์สูงของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ, ภัสธารีย์ พลไพโรจน์

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการรับรู้ของข้าราชการ สคร. ต่อระบบข้าราชการผู้มีผลสัมฤทธิ์สูง และศึกษากระบวนการในการวางแผนกำลังคน การสรรหา และคัดเลือกข้าราชการผู้มีผลสัมฤทธิ์สูงของ สคร. โดยการศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมด้วยการเก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสาร แบบสอบถาม และการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) ผลการศึกษาการรับรู้ของข้าราชการ สคร. ต่อระบบข้าราชการผู้มีผลสัมฤทธิ์สูงในภาพรวม พบว่า ผู้ให้ข้อมูลสำคัญซึ่งเป็นข้าราชการ สคร. มีการรับรู้เกี่ยวกับระบบข้าราชการผู้มีผลสัมฤทธิ์สูงพื้นฐานในระดับดี โดยการรับรู้วัตถุประสงค์ของระบบข้าราชการผู้มีผลสัมฤทธิ์สูงสอดคล้องมากที่สุด และผู้ให้ข้อมูลสำคัญมีการรับรู้สอดคล้องบางส่วน 2 ด้าน ได้แก่ การรับรู้คุณสมบัติของผู้สมัคร และการรับรู้ประโยชน์ของระบบข้าราชการผู้มีผลสัมฤทธิ์สูง ในส่วนผลการศึกษากระบวนการวางแผนกำลังคน การสรรหา และการคัดเลือกข้าราชการผู้มีผลสัมฤทธิ์สูงของ สคร. ผู้ให้ข้อมูลสำคัญซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับระบบข้าราชการผู้มีผลสัมฤทธิ์สูง พบว่า การวางแผนกำลังคนของ สคร. ยังขาดการบูรณาการกัน ส่งผลให้การบริหารกำลังคนคุณภาพขาดความชัดเจน การประชาสัมพันธ์ข้อมูลโครงการข้าราชการผู้มีผลสัมฤทธิ์สูงมีเพียงช่องทางเดียวและครั้งเดียวเท่านั้น โดยที่ผ่านมาผู้สมัครเข้าร่วมโครงการข้าราชการผู้มีผลสัมฤทธิ์สูงมาจากการสมัครด้วยตนเองเพียงอย่างเดียว และผู้สมัครเข้าร่วมโครงการข้าราชการผู้มีผลสัมฤทธิ์สูงของ สคร. ล้วนเป็นข้าราชการที่ปฏิบัติงานในสายงานหลัก


ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจต่ออายุเครื่องหมายรับรอง Ghps และ Haccp ของผู้ประกอบการโรงสีข้าวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หลังสิ้นสุดการสนับสนุนจากกรมการค้าภายใน, มัญชรี พงศ์เศรษฐ์กุล Jan 2022

ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจต่ออายุเครื่องหมายรับรอง Ghps และ Haccp ของผู้ประกอบการโรงสีข้าวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หลังสิ้นสุดการสนับสนุนจากกรมการค้าภายใน, มัญชรี พงศ์เศรษฐ์กุล

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

งานวิจัยชิ้นนี้ศึกษาถึงปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจต่ออายุเครื่องหมายรับรอง GHPs และ HACCP ของผู้ประกอบการโรงสีข้าวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หลังสิ้นสุดการสนับสนุนจากกรมการค้าภายใน โดยใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึกแบบกึ่งโครงสร้างในการสัมภาษณ์ผู้ประกอบการโรงสีข้าวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 6 ราย แบ่งออกเป็น ผู้ประกอบการโรงสีข้าวที่ต่ออายุเครื่องหมายรับรอง GHPs และ HACCP จำนวน 4 ราย และผู้ประกอบการโรงสีข้าวที่ไม่ต่ออายุเครื่องหมายรับรอง GHPs และ HACCP จำนวน 2 ราย ผลการศึกษาพบว่า ปัจจุบันโรงสีข้าวหลายแห่งมีการการวางยุทธศาสตร์ขององค์กรในด้านความปลอดภัยทางด้านอาหาร เพื่อนำองค์กรไปสู่การเป็นองค์กรระดับสากล ซึ่งหนึ่งในแผนนั้นคือการวางระบบ GHPs และ HACCP แต่อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายในการวางระบบที่มีราคาค่อนข้างสูง ประกอบกับการมีขั้นตอนการบริหารจัดการที่เป็นระบบและมีแบบแผนสูง ทำให้องค์กรส่วนใหญ่ที่ตัดสินใจต่ออายุเครื่องหมายรับรอง GHPs และ HACCP เป็นองค์กรที่มีฐานลูกค้าหลักคือกลุ่มที่ต้องการเครื่องหมายรับรอง GHPs และ HACCP และองค์กรเหล่านี้มักจะเป็นองค์กรขนาดใหญ่ที่เชื่อว่า การมีเครื่องหมายรับรอง GHPs และ HACCP จะเป็นการเพิ่มโอกาสทางการค้าให้กับองค์กร อย่างรก็ตาม ผู้ประกอบการโรงสีข้าวที่ไม่ต่ออายุเครื่องหมายรับรอง GHPs และ HACCP ก็ยังคงมีความประสงค์ที่จะมีเครื่องหมายรับรอง ซึ่งถ้าหากภาครัฐให้การสนับสนุนก็พร้อมที่จะดำเนินการวางระบบอีกครั้ง


การปรับตัวสู่การทำงานวิถีใหม่ “การทำงานแบบผสมผสาน (Hybrid Working)”: กรณีศึกษาองค์กรธุรกิจเกี่ยวกับการให้บริการกิจการโทรทัศน์แห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร, รังสิญาพร แสงลับ Jan 2022

การปรับตัวสู่การทำงานวิถีใหม่ “การทำงานแบบผสมผสาน (Hybrid Working)”: กรณีศึกษาองค์กรธุรกิจเกี่ยวกับการให้บริการกิจการโทรทัศน์แห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร, รังสิญาพร แสงลับ

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาทัศนคติเกี่ยวกับการทำงานแบบผสมผสาน (Hybrid Working) และกระบวนการปรับตัวให้เข้ากับการทำงานรูปแบบดังกล่าว ของพนักงานในองค์กรธุรกิจเกี่ยวกับการให้บริการกิจการโทรทัศน์แห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีลักษณะเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพด้วยวิธีการสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ซึ่งประกอบด้วย หัวหน้างานหรือพนักงานอาวุโสและพนักงานประจำหรือพนักงานสัญญาจ้าง ในสังกัดแผนกสื่อสารการตลาดขององค์กรธุรกิจดังกล่าว ผลการศึกษาเกี่ยวกับการปรับตัวขององค์การต่อแนวทางการทำงานแบบผสมผสาน พบว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นสภาพแวดล้อมภายนอกที่เป็นแรงขับสำคัญทำให้องค์การมีการปรับตัวสู่การทำงานแบบผสมผสาน อีกทั้งยังพบว่าวัฒนธรรมองค์การภายหลังการปรับสู่การทำงานแบบผสมผสานมีลักษณะเป็นการให้ความสำคัญกับผลงานและคุณภาพของงานรายบุคคลเป็นหลัก ซึ่งมีส่วนทำให้เกิดการปลูกฝังวัฒนธรรมการทำงานแบบใหม่ให้แก่พนักงาน อย่างไรก็ตามในแง่ของวัฒนธรรมย่อยได้พบว่าแผนกสื่อสารการตลาดค่อนข้างมีสภาพแวดล้อมและบรรยากาศการทำงานแตกต่างจากแผนกอื่น และมีแนวโน้มที่จะดำเนินการใช้รูปแบบการทำงานผสมผสานอย่างต่อเนื่องถึงแม้ในอนาคตจะไม่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ก็ตาม สำหรับความเชื่อมโยงระหว่างภูมิหลังส่วนบุคคลกับการปรับตัวสู่การทำงานแบบผสมผสาน พบว่าเพศหญิงกับเพศชายเห็นด้วยกับการทำงานรูปแบบใหม่ แต่เพศหญิงค่อนข้างมีความกังวลมากกว่าเพศชาย อีกทั้ง พนักงานที่มีอายุต่างกันมีความกังวลในประเด็นเดียวกันคือทักษะทางด้านเทคโนโลยีที่ต่างกันอาจทำให้ประสิทธิภาพของงานลดลง นอกจากนี้พนักงานที่สมรสแล้วมองว่าการทำงานแบบผสมผสานสามารถจัดสรรเวลาร่วมกับครอบครัวได้ดี แต่พนักงานสถานภาพโสดมีข้อกังวลเล็กน้อยเกี่ยวกับการหาคู่ครองในอนาคต อนึ่งผู้ที่มีอายุงานมากกว่า 1 ปีขึ้นไป ไม่มีปัญหาในการทำงานแบบผสมผสานแต่อย่างใด แต่ในทางตรงกันข้ามผู้ที่มีอายุงานน้อยกว่า 1 ปีกลับค่อนข้างมีความกังวลมากกว่าเกี่ยวกับการปรับตัวให้เข้ากับการทำงานรูปแบบดังกล่าว อย่างไรก็ตามพนักงานทุกตำแหน่งต่างเล็งเห็นตรงกันว่าการทำงานแบบผสมผสานช่วยทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานดีขึ้นและมีความสุขในการทำงาน


การศึกษาแนวทางในการบรรเทาภาวะหมดไฟในการทำงานของตำรวจตรวจคนเข้าเมือง, ศิพงษ์ หนูเทพย์ Jan 2022

การศึกษาแนวทางในการบรรเทาภาวะหมดไฟในการทำงานของตำรวจตรวจคนเข้าเมือง, ศิพงษ์ หนูเทพย์

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การวิจัยเรื่องการศึกษาแนวทางในการบรรเทาภาวะหมดไฟในการทำงานของตำรวจตรวจคนเข้าเมือง เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับภาวะหมดไฟในการทำงาน ปัจจัยและบริบทที่ก่อให้เกิดภาวะหมดไฟในการทำงาน และแนวทางในการบรรเทาและป้องกันภาวะหมดไฟในการทำงานของข้าราชการตำรวจชั้นประทวนหน่วยงานหนึ่งในสังกัดสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ปฏิบัติหน้าที่ ณ ท่าอากาศยานนานาชาติแห่งหนึ่ง ผลการวิจัยพบว่า กำลังพลจำนวน 183 นาย ตอบแบบประเมินภาวะหมดไฟในการทำงานกลับมาจำนวน 87 ราย คิดเป็นร้อยละ 47.54 และพบว่า มีกำลังพลที่มีภาวะหมดไฟในการทำงานในระดับสูงทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ ด้านความอ่อนล้า (Exhaustion) ด้านความเย็นชา (Cynicism) และด้านความมีประสิทธิผลในการทำงาน (Professional Efficacy) จำนวน 22 ราย คิดเป็นร้อยละ 25.28 ของผู้ตอบแบบประเมินทั้งหมด ปัจจัยที่ก่อให้เกิดภาวะหมดไฟในการทำงาน 3 อันดับแรก ได้แก่ เงินค่าตอบแทนที่ไม่เหมาะสมเพียงพอ ความกดดันจากผู้บังคับบัญชา และข้อสั่งการที่ไม่สมเหตุสมผลจากองค์กร สำหรับวิธีแก้ไขภาวะหมดไฟในการทำงานด้วยตนเอง ได้แก่ การไม่ทำอะไรเลย การมุ่งสอบสัญญาบัตร การหาอาชีพเสริม การปรับตัว การคิดแต่เรื่องดี การปลีกตัวออกจากงาน การย้ายหน่วยงาน การเปลี่ยนอาชีพ และการไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตนเองเนื่องจากเป็นปัญหาจากระบบและเบื้องบน สำหรับข้อเสนอแนะต่อองค์กรเพื่อบรรเทาภาวะหมดไฟในการทำงาน ได้แก่ การเพิ่มค่าตอบแทน โดยเฉพาะเงินค่าล่วงเวลาให้เหมาะสมและเป็นธรรม การจัดสรรกำลังพลให้เหมาะสมกับปริมาณงานเพื่อบรรเทาความอ่อนล้าทางร่างกายและจิตใจของกำลังพล และการลดข้อสั่งการที่ไม่สมเหตุสมผล เพื่อลดความเครียดและความกดดันอันนำไปสู่ภาวะหมดไฟในการทำงาน


ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากรสำนักงานตรวจสอบภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ, ศุภเชษฐ์ สิทธิสุนทรวงศ์ Jan 2022

ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากรสำนักงานตรวจสอบภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ, ศุภเชษฐ์ สิทธิสุนทรวงศ์

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การศึกษาประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากรสำนักงานตรวจสอบภายใน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่างๆ กับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากรสำนักงานตรวจสอบภายใน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยการศึกษาในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Analysis) ใช้แบบสอบถามออนไลน์ในการเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์และสรุปผลข้อมูลโดยการวิเคราะห์ข้อมูลสถิติเชิงพรรณนา (Descriptive statistic) และสถิติเชิงอนุมาน (Inferential Analysis) ผลการศึกษาระดับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากรสำนักงานตรวจสอบภายใน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่า ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานด้านเวลาอยู่ในระดับเห็นด้วยมากที่สุด รองลงมา คือ ด้านคุณภาพของงาน และด้านปริมาณงานน้อยที่สุดตามลำดับ สำหรับการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่างๆ กับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากรสำนักงานตรวจสอบภายใน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีรายละเอียดดังนี้ 1) ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านลักษะส่วนบุคคลกับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน พบว่า ปัจจัยด้านลักษะส่วนบุคคลของบุคลากรสำนักงานตรวจสอบภายใน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีเพียงด้านแผนกงานที่สังกัด ที่แตกต่างกันสามารถปฏิบัติงานได้มีประสิทธิภาพแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ 2) ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานกับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน พบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานไม่มีความสัมพันธ์กับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานโดยพิจารณาจากด้านเวลา ด้านปริมาณงาน และด้านคุณภาพของงาน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ


ประสิทธิผลการอบรมผู้บังคับบัญชาสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน กรณีศึกษา หลักสูตรผู้บังคับหมวดอาสารักษาดินแดนสำหรับปลัดอำเภอ และเจ้าพนักงานปกครองในส่วนภูมิภาค, สันติสุข เหมือนแท้ Jan 2022

ประสิทธิผลการอบรมผู้บังคับบัญชาสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน กรณีศึกษา หลักสูตรผู้บังคับหมวดอาสารักษาดินแดนสำหรับปลัดอำเภอ และเจ้าพนักงานปกครองในส่วนภูมิภาค, สันติสุข เหมือนแท้

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การศึกษาเรื่อง ประสิทธิผลการอบรมผู้บังคับบัญชาสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน กรณีศึกษา หลักสูตรผู้บังคับหมวดอาสารักษาดินแดนฯ มีวัตถุประสงค์ เพื่อวิเคราะห์ประสิทธิผล ที่เกิดขึ้นในการใช้ความรู้ความสามารถ ตลอดจนทักษะต่าง ๆ จากการฝึกอบรม และหาแนวทางการพัฒนา ปรับปรุงหลักสูตร โดยใช้รูปแบบการประเมินโครงการของเคิร์กแพทริค ในการประเมินพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปหลังการอบรม และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นต่อหน่วยงาน ผลการศึกษาพบว่า ผู้ผ่านการฝึกอบรมมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปหลังการอบรม และผลที่เกิดขึ้นต่อหน่วยงานเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น เมื่อเทียบกับก่อนเข้ารับการฝึกอบรม ด้านพฤติกรรม มีความเป็นผู้นำและคุณลักษณะผู้นำทางทหารมากยิ่งขึ้น ด้านผลลัพธ์ในทางที่ดีต่อหน่วยงาน สามารถปฏิบัติภารกิจตามอำนาจหน้าที่โดยตรง ภารกิจตามนโยบายของรัฐบาล และภารกิจที่ต้องบูรณาการร่วมกับกระทรวง/หน่วยงานอื่น ๆ ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ สำหรับแนวทางการพัฒนา ปรับปรุงหลักสูตร มีแนวทางการพัฒนา ปรับปรุงผู้บังคับหมวดอาสารักษาดินแดน ให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับบริบทในปัจจุบัน และเกิดประสิทธิผลสูงสุดต่อหน่วยงาน ได้แก่ 1) กำหนดหลักสูตรสำหรับผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้โดยเฉพาะ 2) ปรับลดจำนวนชั่วโมงบรรยาย หรือรวมรายวิชาที่มีเนื้อหาใกล้เคียงกัน รวมถึงยกเลิกรายวิชาที่ไม่สามารถนำไปใช้ในการปฏิบัติงานได้ 3) บรรจุรายวิชาที่มีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งต่อการปฏิบัติหน้าที่ในปัจจุบัน


การพัฒนา Smes ไทย ผ่านการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ, สิทธิโชค พัดเย็น Jan 2022

การพัฒนา Smes ไทย ผ่านการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ, สิทธิโชค พัดเย็น

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากระบวนการรวมถึงปัญหา อุปปสรรค และข้อเสนอแนะในการนำนโยบายส่งเสริม SMEs ไทย ให้เข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ผ่านโครงการ Thai SME-GP ไปปฏิบัติ โดยใช้การวิจัยแบบผสมผสาน ทั้งเชิงคุณภาพและเชิงประมาณ ผ่านการแจกแบบสอบถาม แก่ผู้ประกอบการที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการส่งเสริม SMEs ผ่านระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐอิเล็กทรอนิคส์ Thai SME-GP ทั้งสิ้น 400 ราย และการสัมภาษณ์แบบเชิงลึก ผู้บริหาร และผู้ปฏิบัติงานของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งตัวแทนจากผู้ประกอบการที่มีกิจการที่สามารถเข้าร่วมโครงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐได้แต่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการ รวมทั้งสิ้น จำนวน 9 ราย พบว่า นโยบายส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมให้เข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ผ่านโครงการ Thai SME-GP ถูกกำหนดในรูปแบบของ กฎกระทรวงกำหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2563 และนำมาปฏิบัติควบคู่ไปกับการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐตามพระราชบัญญัติจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 จากข้อมูลเชิงปริมาณพบว่าผู้ประกอบการSMEs ที่เข้าร่วมโครงการ ส่วนใหญ่มีความเห็นว่าปัจจัยมาตรฐานและจุดประสงค์ของนโยบายชัดเจน และนโยบายสามารถช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ให้เข้าถึงตลาดใหม่ ๆ ในการจำหน่ายสินค้าและบริการเพื่อต่อยอดกิจการของตนต่อไปได้ในอนาคต แต่อย่างไรก็ตามข้อมูจากการสัมภาษณ์พบว่ามาตรฐานนโยบายผ่านการบังคับใช้ กฎกระทรวงกำหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2563 มีความทับซ้อนและยุ่งยากทำให้ผู้ประกอบการบางรายตัดสินใจไม่เข้าร่วมโครงการ ในด้านของปัจจัยการสื่อสารระหว่างหน่วยงานกับหน่วยรับนโยบายนั้นตัวนโยบายยังไม่สามารถประชาสัมพันธ์เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างทั่วถึง ทำให้ผู้ประกอบการบางส่วนพลาดโอกาสในการเข้าร่วมโครงการ และในส่วนของปัจจัยทรัพยากรนโยบายพบว่าด้วยอัตรากำลังของเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานที่นำไปปฏิบัตินั้นมีจำกัดทำให้ไม่สามารถดูแลผู้ประกอบการได้อย่างทั่วถึง ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายคือ ควรมีการเพิ่มกรอบอัตรากำลังเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานภาครัฐเพื่อรองรับภาระงานที่มากขึ้นให้เพียงพอต่อการบริการ อีกทั้งควรเพิ่มการประชาสัมพันธ์นโยบายให้มากขึ้นเพื่อสร้างการรับรู้ให้แก่กลุ่มเป้าหมายนโยบายได้อย่างทั่วถึง และควรปรับปรุงข้อกฎหมายที่ออกมาบังคับใช้ให้ลดความซ้ำซ้อนลง เพื่อเพิ่มความสะดวกให้แก่ผู้ปฏิบัตินโยบายและประชาชน


ความพึงพอใจของผู้โดยสารชาวต่างชาติที่มีต่อการให้บริการของเจ้าหน้าที่งานตรวจคนเข้าเมืองขาเข้า ด่านตรวจคนเข้าเมือง ท่าอากาศยานกรุงเทพ, สิรภัชภรณ์ นัยเนตร Jan 2022

ความพึงพอใจของผู้โดยสารชาวต่างชาติที่มีต่อการให้บริการของเจ้าหน้าที่งานตรวจคนเข้าเมืองขาเข้า ด่านตรวจคนเข้าเมือง ท่าอากาศยานกรุงเทพ, สิรภัชภรณ์ นัยเนตร

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับความพึงพอใจของผู้โดยสารชาวต่างชาติที่มีต่อการให้บริการของเจ้าหน้าที่งานตรวจ คนเข้าเมืองขาเข้า ด่านตรวจคนเข้าเมือง ท่าอากาศยานกรุงเทพ และ 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อความพึงพอใจของผู้โดยสารชาวต่างชาติที่มีต่อการให้บริการของเจ้าหน้าที่ งานตรวจคนเข้าเมืองขาเข้า ด่านตรวจคนเข้าเมือง ท่าอากาศยานกรุงเทพ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเชิงปริมาณ คือ ผู้โดยสารชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาผ่านช่องทางตรวจคนเข้าเมืองขาเข้า ท่าอากาศยานกรุงเทพ จำนวน 417 คน โดยการใช้แบบสอบถามออนไลน์ (Online Questionnaire) และทำการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติที่ได้จากแบบสอบถามโดยการใช้สถิติค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่า T-test ค่า F-test โดยวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-Way ANOVA) สถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน (Pearson Correlation) และ การวิเคราะห์ถดถอยเชิงพหุคูณ (Multiple Linear Regression) ผลการวิจัย พบว่า ปัจจัยด้านคุณภาพการให้บริการและปัจจัยส่วนบุคคล มีผลต่อความพึงพอใจของผู้โดยสารชาวต่างชาติต่อการให้บริการของเจ้าหน้าที่งานตรวจคนเข้าเมืองขาเข้า ด่านตรวจคนเข้าเมือง ท่าอากาศยานกรุงเทพ โดยผู้โดยสารชาวต่างชาติมีความพึงพอใจต่อคุณภาพการให้บริการอยู่ในระดับมาก ในด้านปัจจัยทางเพศ พบว่าผู้โดยสารชาวต่างชาติเพศชาย มีความพึงพอใจต่อการให้บริการมากกว่าเพศหญิง ในขณะที่ปัจจัยด้านอายุ พบว่า ผู้โดยสารชาวต่างชาติที่มีอายุมากกว่า 50 ปี กลุ่มที่เดินทางถึงท่าอากาศยานกรุงเทพช่วงระยะเวลา 00.01 - 15.00 น. กลุ่มที่มีการใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก กลุ่มที่เดินทางโดยเครื่องบินมากกว่าหรือเท่ากับ 5 ครั้งต่อปี มีความพึงพอใจมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ และพบว่าปัจจัยด้านความเป็นมืออาชีพในการให้บริการ ทักษะการใช้ภาษา ระยะเวลาที่รอการตรวจ ความกระตือรือร้นในการใช้บริการ รวมถึงความชัดเจนของสัญลักษณ์/ป้ายของด่านตรวจคนเข้าเมือง มีอิทธิพลต่อการสร้างความพึงพอใจของผู้โดยสารชาวต่างชาติ อย่างไรก็ตาม ผลการวิจัยพบว่าผู้โดยสารชาวต่างชาติมีความพึงพอใจน้อยที่สุดในด้านปัจจัยด้านสัญลักษณ์/ป้ายของด่านตรวจคนเข้าเมือง และเวลาเดินทางถึงระหว่าง 20.01 – 00.00 น. ดังนั้น จึงควรปรับปรุงเรื่องป้ายหรือสัญลักษณ์ และ จัดเจ้าหน้าที่ให้เพียงพอต่อการให้บริการ เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการในการรับบริการของผู้โดยสารได้


พฤติกรรมการทำงานของบุคลากรภายหลังได้รับการรับรองมาตรฐานระบบบริหารคุณภาพ Iso 9001 : 2015กรณีศึกษาสำนักงานวิทยทรัพยากร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, สุรีย์ ทรัพย์สง่า Jan 2022

พฤติกรรมการทำงานของบุคลากรภายหลังได้รับการรับรองมาตรฐานระบบบริหารคุณภาพ Iso 9001 : 2015กรณีศึกษาสำนักงานวิทยทรัพยากร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, สุรีย์ ทรัพย์สง่า

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาพฤติกรรมการทำงานของบุคลากรภายหลังได้รับการรับรองมาตรฐานระบบบริหารคุณภาพ ISO 9001 : 2015 กรณีศึกษาสำนักงานวิทยทรัพยากร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการทำงานของบุคลากรหลังการนำระบบบริหารคุณภาพ ISO 9001 : 2015 มาใช้ในการดำเนินงาน และศึกษาปัจจัยส่วนบุคคลที่มีผลต่อพฤติกรรมการทำงานของบุคลากรภายหลังการนำระบบบริหารคุณภาพ ISO 9001 : 2015 มาใช้ในการดำเนินงาน ใช้วิธีการวิจัยแบบผสม (Mixed Methodology) โดยแจกแบบสอบถาม บุคลากรของสำนักงานวิทยทรัพยากร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จำนวน 83 คน และสัมภาษณ์ตัวแทนบุคลากร จำนวน 5 คน จากการศึกษาพบว่า บุคลากรส่วนใหญ่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับระบบบริหารคุณภาพ ISO 9001 : 2015 อยู่ในระดับปานกลาง บุคลากรมีพฤติกรรมการทำงาน ภายหลังการนำระบบบริหารคุณภาพ ISO 9001 : 2015 มาใช้ในการดำเนินงาน เป็นไปตามข้อกำหนด 8 ประการของหลักการบริหารงานคุณภาพ และบุคลากรที่มีปัจจัยส่วนบุคคลด้านระดับการศึกษา อายุงาน ตำแหน่งหน้าที่ และระดับ P ที่แตกต่างกัน มีผลต่อพฤติกรรมการทำงานของบุคลากรตามข้อกำหนด 8 ประการของหลักการบริหารงานคุณภาพ แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05


ความสัมพันธ์ระหว่างความเครียดจากการปฏิบัติหน้าที่และความผูกพันองค์กรของเจ้าหน้าที่ศุลกากร กรณีศึกษา สำนักงานศุลกากรตรวจสินค้าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ, อนันตชัย ศิริสูงเนิน Jan 2022

ความสัมพันธ์ระหว่างความเครียดจากการปฏิบัติหน้าที่และความผูกพันองค์กรของเจ้าหน้าที่ศุลกากร กรณีศึกษา สำนักงานศุลกากรตรวจสินค้าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ, อนันตชัย ศิริสูงเนิน

Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

สารนิพนธ์เรื่อง “ความสัมพันธ์ระหว่างความเครียดจากการปฏิบัติหน้าที่และความผูกพันองค์กรของเจ้าหน้าที่ศุลกากร กรณีศึกษา สำนักงานศุลกากรตรวจสินค้าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ” มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความเครียดจากการปฏิบัติหน้าที่และระดับความผูกพันองค์กรของเจ้าหน้าที่ศุลกากร สำนักงานศุลกากรตรวจสินค้าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความเครียดจากการปฏิบัติหน้าที่และความผูกพันองค์กรของเจ้าหน้าที่ศุลกากร สำนักงานศุลกากรตรวจสินค้าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ การวิจัยครั้งเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ เจ้าหน้าที่ศุลกากร จำนวน 191 คน โดยใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูใช้ค่าสถิติโดยวิธีการหา ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานการวิจัยด้วยสถิติ T-test F-test และการวิเคราะห์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson correlation coefficient) ผลการวิจัยพบว่า (1) ระดับความเครียดจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ศุลกากรอยู่ในระดับปานกลาง โดยความเครียดที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ด้านลักษณะงานและสภาพแวดล้อมในการทำงาน ด้านบทบาทหน้าที่ในองค์กร และด้านโครงสร้างองค์กร ตามลำดับ (2) ระดับความผูกพันองค์กรของเจ้าหน้าที่ศุลกากรอยู่ในระดับสูง โดยด้านการยอมรับเป้าหมายและค่านิยมขององค์กรมีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด (3) ความเครียดจากการปฏิบัติหน้าที่มีความสัมพันธ์ในทิศทางตรงข้ามกับความผูกพันองค์กรของเจ้าหน้าที่ศุลกากร